วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เรารักอะไรที่สุด


ภาพที่เห็นบ่งบอกอะไรได้บ้าง เรื่องราวในอดีต ก็จะเป็นอุทาหรณ์ หรือ ตำนานให้คนได้เล่าขานกันต่อไป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอๆว่า การทานสมุนไพรของท่านทั้งหลาย ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวท่าน หรือครอบครัว คนใกล้ชิด เท่านั้น แต่จะเป็นจารึก อันเป็นประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้เรียน ได้อ่าน นั่นหมายความว่า ทุกท่านที่ผ่านเข้ามา ไม่ว่าจะประสพผลหรือไม่ กำลังถูกจดเป็นบันทึก ให้คนรุ่นหลังได้มาอ่าน และเล่าขานกันต่อไป

บันทึกหน้านี้ก็เป็นตัวอย่างที่ได้เห็น และคิดว่าน่าสนใจบ้างไม่มากก็น้อย เป็นบันทึกของสองท่าน ท่านแรก คือ มหาเศรษฐีแห่งแดนใต้ ที่ซึ่งมีธุรกิจน้อยใหญ่มากมายจนนับไม่ถ้วน ที่สำคัญคือ มีหุ้นส่วนในโรงพยาบาลใหญ่ หลายแห่ง แต่กำลังทรัพย์ และกำลังของหมอ ทั้งประเทศไทย จีน อเมริกา เยอรมัน หรือที่ใดในโลก ก็ไปมาหมดแล้ว ไม่สามารถรักษาอาการของเขาได้ คือ อาการอันเนื่องจากเซลล์ของร่างกายแก่ไวกว่าปกติ โดยเฉพาะช่วงร่างของร่างกาย ผลคือ ทำให้ร่างกายช่วงร่างเหมือนคนแก่ คือ ไม่มีแรง ทั้งที่สติปัญญา ยังครบถ้วนสมบูรณ์ และวัยเพียงห้าสิบเท่านั้น

ด้วยความบังเอิญที่เขาได้ทราบข่าวจากเพื่อนของหลวงพ่อนิพนธ์ และได้แนะนำให้เขามาลองแนวทางสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยนดู ก็ด้วยเหตุผลที่ว่า ในเมื่อแนวทางอี่นๆ ถูกปิดลงหมดแล้ว จนหมอให้นั่งนับวันรอเวลาที่ร่างกายหมดสภาพ เขาก็ตัดสินใจมาทดลอง ด้วยความใจสู้ของเขาและความมีน้ำอดน้ำทน รวมทั้งจิตใจ ที่ชื่นชอบในกิจกรรมของหลวงพ่อนิพนธ์ ทำให้สภาพของเขา เริ่มฟื้นคืนกลับมา เริ่มจากระบบขับถ่าย ที่ถ่ายออกเป็นขี้แพะ ก้อนเล็กๆ ทานข้าวไม่ค่อยได้ ก็กลับมาเป็นปกติ จนเริ่มกลับมามีกำลังขา และเริ่มหัดเดินได้อีกครั้ง จนในที่สุด เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์เห็นว่า ควรทดสอบสภาพร่างกาย ทั้งภายในและภายนอก จึงให้เขาไปเผชิญความหนาวเย็น และเดินที่ เก็นติ้ง ประเทศมาเลเซีย ผลปรากฎว่า เขาสามารถเดินได้เอง โดยการใช้ไม้เท้าช่วย และไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ ปรากฎ จากการกระทบของอากาศเย็นเลย ซึ่งต่างกับในอดีตที่จะโดนความเย็นไม่ได้เลย

เมื่อกลับจากมาเลเซีย เขาก็ขออนุญาตกลับไปเยี่ยมบ้าน ภรรยา เขาก็ได้พาเขาไปให้หมอคนเดิมที่รักษา ตรวจเช็คสภาพร่างกาย และกล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องทานสมุนไพรแล้ว สภาพตอนนี้ให้ทำกายภาพบำบัด ก็จะกลับมาเหมือนเดิมได้ ภรรยาจึงได้พาเขาไปเข้าคอร์สกายภาพนั้น และไม่ได้กลับมาทานสมุนไพรอีกเลย

อีกตัวอย่างหนึ่งที่จะยกมา คือ ท่านคณบดีคณะเภสัชศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดัง มีบุตรสาว ที่ป่วยมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงทั้งตัว ทำให้ต้องนั่งรถเข็นตั้งแต่เด็ก และไม่สามารถเดินได้ ด้วยความที่ใกล้ชิดวงการแพทย์ ได้ทุ่มเทจนสุดความสามารถ ก็ไม่สามารถทำให้ลูกสาวดีขึ้นเลย จนอายุล่วงเข้ามา สิบแปดปี ก็ยังต้องนั่งรถเข็นเช่นเดิม หลังจากทราบข่าว ก็ได้นำลูกสาวมาทานสมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์ท่านก็เอ็นดู และพยายามที่จะให้กลับมาช่วยตัวเองได้อีกครั้ง เวลาผ่านไป ความอดทนและมีมานะของเธอ ก็เริ่มส่อผล เมื่อกล้ามเนื้อเริ่มมีแรง จนสามารถยืนได้ ในที่สุดสิ่งที่ไม่เคยทำได้ เธอก็เริ่มทำได้ นั่นคือการเดินด้วยตัวเอง ทุกครั้งที่เธอมาพบหลวงพ่อนิพนธ์ ท่านจึงพยายามให้เธอเดินรอบศาลา สองสามรอบ

จากตัวอย่างทั้งสอง เห็นได้ชัดว่า ความฝันของบุคคลทั้งคู่ ใกล้จะเป็นจริง ในไม่ช้า ด้วยความมีมานะ และอดทน แต่ผลสุดท้าย คนทั้งสอง ก็ถูกคำพิพากษา จากแพทย์ทั้งคู่เหมือนกัน คือ "ไม่จำเป็นแล้ว สภาพเช่นนี้มากายภาพบำบัด ร่างกายก็จะฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม" ประกาศิตนี้ มาจากบุคคลที่เคยกล่าวว่า "กลับไปบ้าน และรอเวลา" นั่นเอง

วันนี้คนที่เคยปฏิเสธคนไข้ ไม่รับรักษาอีกต่อไป กลับมาพูดว่าช่วยได้ ผลที่ปรากฎ คือ อาการช่วงแรกดูเหมือนจะดีขึ้น จนกระทั่งการขาดสมุนไพรเป็นเวลานานเกินไปเริ่มปรากฎผล สภาพร่างกายเริ่มตีกลับ อาการที่เคยเป็นเริ่มปรากฎอีกครั้ง

จะทำอย่างไรเล่า ในเมื่อคนที่บอกว่ารัก ของคนไข้ทั้งสอง ได้พาเขามาจากหลวงพ่อนิพนธ์ และนำชีวิตเขาไปอยู่ในมือหมอแทน เมื่อสภาพเริ่มเลวร้ายอีกครั้ง หมอก็เริ่มจะกล่าวเช่นเดิม เขาทั้งสองจะหวนกลับมาหาหลวงพ่อนิพนธ์อีกครั้ง คนที่บอกว่ารักเขา ไม่ว่าภรรยา หรือพ่อแม่ ก็ไม่สามารถสู้หน้าหลวงพ่อนิพนธ์ได้อีกครั้งแล้ว

สิ่งที่เราอยากจะบอกคือ การเดินทางแนวของแม่ชีเมี้ยน ท่านตรัสไว้ว่าหลักของพระพุทธเจ้า เป็นหลักเชื่อว่า "เหตุเกิดแต่กรรม" ดังนั้น การมาใช้แนวทางนี้ จึงหนีไม่พ้น ที่จะต้อง ทุกข์กาย และทุกข์ใจ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า วินัยของท่าน มีไว้ให้ทุกข์ เพราะทุกข์กับวินัย ดีกว่าทุกข์กับกรรม ธรรมที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้เราท่องจำเสมอ เพื่อจะมีขันติ อดทน คือ "ทุกข์วันนี้ เพื่อสุขวันหน้า" เราก็ไม่แปลกใจ ที่หลักของพระพุทธเจ้า จะมีคนชอบน้อย

แต่คนที่มาพบแล้วทิ้งไป การจะยอมเสียหน้าและกลับมารับผิด ย่อมยากยิ่งนัก เพราะแท้จริงแล้ว ท่านเหล่านั้นรักหน้าตัวเอง เกินกว่าที่จะรักคนที่ท่านบอกว่ารัก นั่นเอง คืออุปสรรคใหญ่ สุดท้าย ท่านก็ยอมเสียเงิน แล้วปล่อยให้คนที่ท่านบอกว่ารัก จากไป ด้วยภาพที่ท่านสร้างให้คนเห็น คือทุ่มเทเงินทองไป จนท้ายสุดก็เสียคนนั้นไป พร้อมกับคำสรรเสริญจากคนที่ได้พบเห็น ว่าท่านรักเขาคนนั้นจริงๆ จึงยอมทุ่มเทเงินทองมากมาย

แต่ภาพที่เราเห็นช่างต่างกันยิ่งนัก และชวนให้สงสัยว่า "เขาเหล่านั้น รักอะไรที่สุด"

ประวัติศาสตร์หน้านี้ คงบอกเรื่องราวอะไรได้ไม่มากก็น้อย ผลที่ได้ ก็ขอจงสะท้อนกลับไปเกื้อกูลท่านทั้งสองที่ยกตัวอย่างมาด้วยเทอญ

คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ที่ยังก้องในหูของเราเสมอ คือ ถ้าเลือกจะใช้แนวทางนี้ ต้องเดินให้สุดราวในคราวเดียว เฉกเช่น ตีงูต้องตีให้ตาย มิฉะนั้นแล้ว ก็ยากจะประสพผล หรือคาดคะเนผลได้แล้ว การจะทำเช่นนั้นได้ จึงต้องเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และมีน้ำอดน้ำทน ผู้ทำได้ ย่อมนับได้ว่า เป็นผู้ที่สมควรยกย่อง และได้ทำตนเป็นประวัติศาสตร์ ให้คนรุ่นหลัง ได้ก้าวเดินตาม ด้วยความมั่นใจ หรือที่ท่านกล่าวว่า ได้ทำตนเฉกเช่น " พระมาลัยโปรดสัตว์ " นั่นเอง

ที่สำคัญ คนที่ทำได้ ย่อมพิสูจน์ตนเองว่า เชื่อมั่น และศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง จึงพบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนา และได้พร อันได้แก่ "ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ" มาเป็นรางวัลในการทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44