ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ลูกคิดรางแก้ว
หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเตือนสมาชิกเสมอๆ ในประเด็นหนึ่ง นั่นคือ นิสัยที่เป็นคนชอบคิด ไม่ใช่เพื่อเอาเหตุเอาผล แต่เพื่อคำนวนเป็นเงินเป็นทอง อันเป็นนิสัยที่เคยชินเมื่ออยู่ที่บ้าน
ด้วยนิสัยนี้เอง ก็จะเริ่มดีดลูกคิดว่า ถ้าตัวเขาเองมารับสมุนไพรที่ชมรมคนรักสุขภาพนี้ เขาจะเสียอะไร ได้อะไร ไม่ใช่เรื่องความรู้ในการปฏิบัติ แต่หากเป็นเรื่องเงินเรื่องทองซะเป็นส่วนใหญ่ คนเหล่านั้น คิดว่า มาแล้วต้องเสียค่ารถเท่าไร ค่ากินเท่าไร และจะได้จากส่วนไหน อาทิเช่น ซื้อของจากตลาดหน้าชมรมซึ่งขายของถูกกว่าที่บ้าน จะประหยัดเท่าไร สุดท้ายสุด ประเด็นที่เขาคิดกลายเป็น คุ้มกับค่าเงินที่เสียไปในวันนั้นๆ หรือไม่
พฤติกรรมเช่นนี้น่าเสียดายยิ่ง เพราะหลวงพ่อนิพนธ์ สอนว่า สิ่งที่เขาได้ เขามองไม่เห็น หรือยังมองไม่เห็น แต่สิ่งที่เขาเสีย เขาเห็น เขาสัมผัสอยู่ตลอด ดังนั้น คนเหล่านี้ จึงคิดว่า ประหยัดการกินดีกว่า โดยนำมาจากบ้านเอง ถูกปากด้วย มาตัวเปล่าดีกว่า ไม่ต้องเสียอะไรให้ใคร ได้สมุนไพรกลับไป ยังได้ของถูกกลับบ้าน คิดแล้วยังมีกำไร
แต่สิ่งที่เขาเหล่านั้นคิด มันสวนทางกับแนวทางของแม่ชีเมี้ยนที่นำหลักของพระพุทธเจ้ามาให้อย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุที่ หลักของพระพุทธเจ้าที่นำมาใช้ ในการแก้ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ ก็ด้วย "หลักตนพึ่งตน" จึงจำเป็นต้องมีส่วนของตนเอง เข้ามาร่วมอยู่ในสมุนไพรด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนให้สมาชิก ทำทางตรง คือ หิ้วสมุนไพรมากันตามความพร้อม มะกรูดห้าลูก มะพร้าวสองลูก พริกไทยขีดหนึ่ง ไพลสักโล มารวมกันเป็นส่วนกลาง เพื่อทำสมุนไพรแจก จะได้ชื่อว่าได้ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าในหมวดนี้แล้ว
หรือจะเป็นการทำทางอ้อม คือการทานอาหาร หรือซื้อของกิน ในชมรม เพื่อนำส่วนต่าง คือ กำไร ไปซื้อสมุนไพรมาทำแจกสมาชิก ก็เป็นทางหนึ่งที่ทำได้เช่นกัน
แต่หากที่เรานำมา เกินส่วนของที่เรารับไป ส่วนเกินนั้น ท่านกล่าวว่า ก็เปรียบเหมือนเราทำทาน ดุจดังทำตนเป็นพระเวสสันดร นั่นเอง
การกระทำอย่างนี้ ทำให้ชมรมคนรักสุขภาพ สามารถดำรงอยู่ได้ โดยไม่ต้องตั้งตู้เรี่ยไร หรือร้องขอความช่วยเหลือจากภาคส่วนใดๆ และที่สำคัญ แสดงเอกลักษณ์ของพระพุทธเจ้า คือ "ตนพึ่งตน" ได้อย่างแท้จริง
หากแม้ไซร้ สมาชิกไม่ทำ ก็ไม่มีใครว่า เพราะคนประเภทนี้ สมัยพุทธกาล จัดเป็นประเภท "ชูชก" ซึ่งแม้จะดูว่าได้เปรียบผู้อื่น แต่ก็ยากจะประสพผลสำเร็จ ในการรักษาตน
สิ่งที่เราได้จากการสูญเสียในการทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ เราจะได้ชีวิตกลับมา ถ้ามีชีวิต ก็สามารถหาสิ่งที่ต้องการได้ แต่ถ้าไม่มีชีวิตแล้ว สิ่งที่คิดว่าจะรักษาไว้ ก็ทำไม่ได้แล้ว
ดังนั้น คนที่ดีดลูกคิดรางแก้วไว้ คิดว่าตนจะได้ กลับกลายเป็นผู้เสีย การเสียที่สำคัญยิ่ง คือ ชีวิตของตน ซึงมีค่ากว่าสิ่งใด คนที่ยอมเสีย กลับกลายเป็นผู้ได้ เพราะได้ชีวิตกลับมา สามารถไปแสวงหาสิ่งที่ต้องการได้
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ย้อนไปนับแต่ยุคถ้ำกระบอก บุคคลที่ประสพผล ในแนวทางของแม่ชีเมี้ยน จึงมีพฤติกรรม ที่เห็นเด่นชัด คือ มาเพื่อรับธรรมไปสร้างบุญ ถือสิ่งของมาเพื่อสร้างทาน เราจึงได้ยินเสมอๆ ที่คนเฒ่าคนแก่ สอนเรา คือ "หมั่นทำบุญทำทาน" นั่นเอง
ก็ถ้าแผ่นดินนี้ มีชูชกมากกว่าพระเวสสันดร เราก็เห็นว่า สถานที่นี้ก็ไม่ควรมีให้เป็นที่พึ่งแก่คนในแผ่นดินนี้ แต่เท่าที่ผ่านมา กิจกรรมนับแต่ปี 30 ก็เจริญเรื่อยมา ย่อมแสดงให้เห็นได้ว่า มีผู้ประสพผล และมีผู้เลือกเดินตามแนวนี้ อยู่ไม่น้อย
อย่ามาที่นี้ ด้วยเหตุของกำไรขาดทุน แต่ควรมาด้วยเหตุของคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ให้เรามา เพื่อได้สมุนไพรไปล้างโรค ได้ธรรมไปล้างกรรม แล้วเราจะได้ชีวิตกลับไปทำในสิ่งที่อยากทำอย่างแน่นอน นี่คือ คำยืนยัน ที่หลวงพ่อนิพนธ์ พร่าสอนเสมอๆ
หยุดพฤติกรรม ดีดลูกคิด และกล่าวว่า "มาแล้วได้กำไร ยังได้สมุนไพรฟรีอีก" แล้วท่านจะเสียสิ่งที่มีค่าที่สุด คือชีวิตของท่านไป
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น