วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก


ทำไมธรรมของพระพุทธเจ้าจึงสามารถกระจายไปทั่วโลกได้ หากแต่ศาสน์ คือพระพุทธศาสนา กลับกระจุกตัวอยู่ในวงแคบๆ

นี่แหละเป็นเพราะพราหมณ์มันเขียน มันสร้างไว้ในพระไตรปิฏกนั่นเอง

ความกระจุกตัวของศาสน์ จึงเกิดจากการบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะเรื่องบุญ หรือ การสร้างบุญ จากเดิมที่บัญญัติว่า บุญ เกิดจากการให้สุขแก่มนุษย์และสัตว์ กลายมาเป็นบุญต้องเกิดจากการสร้างโบสถ์ สร้างศาลา ต้องทำบุญกับพระ

ธรรมของพระภูมี ทรงตรัสว่าเป็นธรรมสายกลาง ไม่ใช่เฉกเช่นในพระไตรปิฎกเขียน หรือพระทั้งหลายกล่าวอ้าง ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ซึ่งเป็นคนละทิศ คนละทาง กับความหมายของพระภูมีเลย

ธรรมสายกลาง ของพระภูมีบัญญัติ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าววว่า หมายถึง ไม่ว่าผู้ใดก็ทำได้ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะนับถือพระภูมีหรือไม่ จะเป็นชนชาติใด ก็สามารถแสงหาบุญมาเลี้ยงตน ด้วยการเอาธรรมของท่านไปปฏิบัติ

นี่แลคนทุกหมู่เหล่า ทุกมุมโลก จึงส่งคนของตนมาเรียนรู้ แล้วไปสอนคนในหมู่ของตนให้ปฏิบัติ เป็นบุญเลี้ยงตน ศาสน์ของพระภูมี จึงกล่าวได้ว่า การจะทำให้ถึงซึ่งนิพพานนั้นเป็นเรื่องทำได้ยาก คนทั่วไป จึงให้ชื่อว่า เป็นศาสน์ที่ดี แต่ทำไม่ได้ ดังนั้นจึงเอาข้อปฏิบัติบางสิ่งบางอย่างที่พอทำได้ มาใช้ในหมู่ตน

หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายเพิ่มให้ฟัง นั่นหมายความว่า หากมีการลดนิสัยเป็นบางสิ่งบางอย่าง และมีการกระทำตามพระภูมีสอน นั่นคือ การให้สุขแก่ผู้อื่น ย่อมเป็นบุญเฉกเช่นเดียวกัน ไม่ขึ้นกับว่าต้องนับถือพระภูมี ต้องเป็นพุทธศาสนิกชน ... จึงทรงเรียกธรรมนี้ว่าเป็นธรรมสายกลาง มนุษย์ทุกคนทำได้

ก็แล้วธรรมแพร่กระจายไปโดยวิธีใด หากด้วยลำพังพระภูมี คงไม่มีทาง เพราะไม่ขึ้นรถลงเรือ เวลา ๔๐ ปี ในการโปรด คงได้ไม่เท่าไหร ก็ต้องอาศัย ผู้ที่ประสพผลในการปฏิบัติธรรมของพระองค์ คือ สาวก และพระมาลัยนั่นเอง

เมื่อช่วยตนจนสำเร็จ รู้หนทางในการช่วยตนแล้วไซร้ บัญญัติธรรมข้อหนึ่งที่เป็นการแสดงถึงความเป็นผู้มีคุณธรรม และรักษาคุณธรรมของตนไว้ กล่าวว่า "พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง"

นั่นหมายถึง การสร้างบุญด้วยวาจา เมื่อเห็นคนทุกข์ ก็ต้องมีเมตตาแก่คนเหล่านั้น การรู้หรือเป็นผู้รู้แล้ว แต่ไม่ยอมพูด จึงกลายเป็นผู้ขาดเมตตา ขาดคุณธรรม การไม่พูดจึงเสียคุณสมบัติ อุปมาเหมือนเสียตำลึงทอง ดังนั้น จึงมีหน้าที่พูด การพูดนั้นก็ได้ทั้งคุณสมบัติ และได้บุญ อุปมาได้สองไพเบี้ย

ด้วยการสร้างกรรมและบุญ ก็ต้องถึงพร้อมด้วย กาย วาจา ใจ ... เราท่านจึงเห็นต้นแบบ คือ หลวงพ่อนิพนธ์ ที่พยายามที่จะอดทน พูดให้เราท่านเกิดศรัทธา พิจารณาในเหตุและผล ของพระภูมี แล้วทำตาม ฉันใดก็ฉันนั้น

เราท่านที่ประสพผล จึงมีช่องทางที่จะได้บุญอีกทางหนึ่ง นั่นคือ การนำความรู้ที่ได้ช่วยตน ซึ่งเป็นความรู้ที่ถูก ผ่านการพิสูจน์ด้วยชีวิตตนมาแล้วนั้น ไปให้ผู้อื่นพิจารณา เป็นทางเลือก

การพูด ก็ต้องใช้ขันติอดทนอันมหาศาลเช่นกัน ... แลมนุษย์มีหลายจำพวก ดังนั้น บทเมตตา จึงบัญญัติเป็น เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ... เมื่อถึงบทอุเบกขา หากยังพูดอีก ก็กลายเป็นโทษแล้ว เพราะคนผู้นั้นพระภูมีจัดว่า ดิบเกิน ไม่ควรจะเสียเวลาเพราะฝึกไม่ได้

มาถึง ณ.วันนี้ เราคิดว่า ก็น่าจะใกล้หมวดอุเบกขา ของหลวงพ่อนิพนธ์แล้ว นั่นหมายความว่า ในอนาคตอันใกล้ เพื่อผลแห่งการช่วยตน การกำหนดกฏหรือข้อปฏิบัติ ก็จักเด่นชัด เพื่อคัดเลือกเอาเฉพาะคนที่อยากได้ แล้วทำตาม ใครไม่ทำตาม ก็คือคนที่ไม่อยากได้ คนเหล่านั้นก็จักถูกคัดออกไป ... ซึ่งไม่ใช่ไม่ช่วย แต่เป็นเพราะคนเหล่านั้นไม่ช่วยตน ไม่ยื่นมือมา

การพูด จึงอุปมาเหมือนการยื่นมือไป หากแต่ผู้ฟัง ไม่พิจารณา หรือไม่เอาเหตุเอาผล ไม่ยอมยื่นมือมา นั่นก็หมายความว่า หนทางสำเร็จไม่มีทางเกิด ... อุปมา ตบมือข้างเดียวไม่ดัง

วันเวลาที่รีบเร่ง และจำกัด การเสียเวลากับบุคคลเหล่านั้น คงเป็นไปไม่ได้แล้ว

จึงอยากเตือนว่า เหตุการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ปรับตัวให้ทัน กับวิกฤตที่เกิด ...

บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ คือ "คนทำได้เท่านั้น คือคนรอด"

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44