วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

หน้าที่ของพระมาลัย



ดูจากรูปภาพด้านบน หลายท่านอาจจะยังจำเรื่องราวของสองแม่ลูก ที่เป็นมะเร็งได้

คุณแม่วัย ๓๕ ปี ป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ ลามไปยังเต้านม ในขณะที่ลูกน้อยของเธอ แม้นจะยังอยู่ในวัยเด็ก แต่ก็เกิดอาการมะเร็งปอดเฉียบพลัน

มาวันนี้เธอได้ผ่านวิกฤต พาตัวเองรอดปลอดภัย มิหนำซ้ำ อาการมะเร็งปอดของลูกสาว หลังจากทานสมุนไพรได้เพียง ๓ เดือน กลับไปตรวจอีกครั้ง อาการเป็นจุดทั่วปอดก็หายไป

นี่แหละคือภาพของศาสน์ ที่พระภูมีทรงตรัสไว้ว่า "ให้เมตตาตนเองเสียก่อน แล้วจึงเมตตาผู้อื่น"

หลวงพ่อนิพนธ์ได้อรรถาธิบายเสมอให้ฟังว่า เมื่อมาสถานที่นี้ ผลแพ้ชนะอยู่ที่องค์ความรู้ ที่จะต้องนำไปใช้ในยามเกิดวิกฤต และเมื่อเราท่านใช้องค์ความรู้นั้น ช่วยตนจนพ้นวิกฤต สามารถฟื้นฟูตนเองกลับมาปกติได้ เมื่อนำไปใช้กับผู้อื่น ย่อมเกิดผล เพราะนั่นเป็งองค์ความรู้ที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าถูกต้อง เพราะผลถูกแห่งการทำมันเกิดนั่นเอง

การทำหน้าที่พระมาลัยของคุณสุไลพร จักเห็นได้ชัดว่า ในยามวิกฤต กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่ง เมื่อวิกฤตเข้าใกล้จุดสูงสุด ความไม่ต้องการมีชีวิตเพื่อรับความทรมานนั้น ก็จะเป็นความคิดวูบหนึ่งที่เกิดขึ้น แล้วพยายามดิ้นรน ไม่ว่าจะไปหาหมอช่วยระงับ หรือแม้นกระทั่งยอมถอดใจ ปล่อยชิีวิตให้ตายไป นั่นคือยอมแพ้

หากแต่สิ่งหนึ่งที่เหนี่ยวรั้งเธอไว้ มิใช่เพื่อชีวิตเธอ หากแต่เป็นลูกน้อย ๓ คน ที่รอเธออยู่ ซึ่งจะหวังสามีที่ไม่เป็นโล้เป็นพายไม่ได้เลย ความหายนะจากการยอมแพ้ของเธอ จึงไม่ได้หยุดที่ตัวเธอ หากแต่หมายถึงชะตากรรมของลูก ที่จะต้องเผชิญความเลวร้ายมากมายสักฉันใด หากขาดเธอไป ทำให้สิ่งนี้กลายเป็นแรงใจให้เธอสู้ต่อ จนประสพผล

สิ่งนี้ย่อมเป็นเครื่องบอกว่า การจะชนะได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย คนที่ประมาทกรรม ไม่เตรียมจิตเตรียมใจ รวมทั้งเตรียมกาย ปรับพฤติกรรม ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารที่ต้องตุนไว้ในยามที่ทานได้ เพราะในยามวิกฤต เมื่อกรรมเล่นถึงตาย ย่อมต้องหมายถึงการตัดพลังด้วยการทำให้ทานไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเผชิญ

แต่ประวัติของพระมาลัยองค์นี้ ก็แสดงให้เห็นว่า แม้นจักลำบากสักฉันใด วันนี้จะทุกข์ทรมานปานไหน แต่สิ่งนั้นมีวันจบ การหายโรคเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ศาสน์ของพระภูมีที่ทิ้งไว้ให้มีจริง ...

คาถาประจำใจของสาวกทุกพระองค์ที่พระพุทธเจ้าให้ ในวันแรกของการบวช หรือปฏิบัติ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ต้องเก็บไว้เป็นสติ เพราะวินัยของพระภูมี คือ ต้องทุกข์กับธรรม เพื่อหนีทุกข์จากกรรม นั่นคือ "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า"

วันนี้ของคุณสุไลพร มีร่างกายที่แข็งแรง กลับไปทำงานได้ปกติ ไม่เคยขาดงานอีกเลย และทุกวันอาทิตย์ก็พาลูกน้อยมาทำตนเป็นจิตอาสาในมูลนิธิ ... และตอนนี้ก็มีหน้าที่เพิ่มอีกอย่างคือ เป็นพระมาลัยให้เราท่านได้พิจารณา

เหล่าพระมาลัยนี้ ในวันที่อาคารมะเร็งเปิดทำการ ย่อมมีความหมาย ที่จะทำให้คนที่เดินตาม ที่มีอาการเฉกเช่นเดียวกัน ได้สอบ ได้ซักถาม และเรียนรู้วิธีการต่างๆ เพื่อช่วยตน ... ความหวังก็บังเกิด เพราะมีผู้ถากถางทางเดินให้โล่ง มองเห็นหลักชัยที่เด่นชัด หากตนมีมานะขันติอดทน ย่อมเดินถึงเฉกเช่นเดียวกัน

บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น นั่นคือ มองข้ามเรื่องโรค คู่ต่อสู้ของเราท่านไม่ใช่โรค แต่เป็นกรรม หมายความว่า มันย่อมแปรเปลี่ยนรูปแบบ ไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุด ย่อมต้องรวมพลังโจมตีครั้งสุดท้าย ไม่ว่าทางกายและจิตใจ เพื่อให้เราท่านกลับไปเป็นสาวกของมันดังเดิม นั่นคือ ไปพึ่งยาเคมี อาการครั้งสุดท้ายนี้ ก็คือ "อาการลงแดง" นั่นเอง

การจะสู้กับกรรม จึงต้องปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามอาการให้ทัน แก้ไขจุดตาย คือ อาการที่อันตรายในแต่ละช่วง ต้องมีการปรับเปลี่ยนสมุนไพรตามอาการเป็นระยะ ... การเข้าหาหลวงพ่อนิพนธ์ปรึกษาอาการ จึงมีความจำเป็นสำหรับคนป่วยประเภทนี้

สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตเห็นนั่นคือ โอกาสประสพความสำเร็จของคนประเภทนี้ มีสูง เพราะอยู่ในสภาพหลังพิงฝา ไม่มีทางให้เลือก การทานสมุนไพรจึงใช้เวลาไม่นานมาก แม้นจะยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสสมุนไพรตัวเอก คือ ยาตัด ก็ตาม ผิดกับโรคอื่นๆ ที่มีวันเวลา มีความทรมานไม่มาก ก่อให้เกิดความรำคาญเสียมากกว่า เช่น เบาหวาน ความดัน ... คนเหล่านั้นจึงมีทางเลือก อยากมาก็มา ไม่อยากก็ไม่มา กินมั่งหยุดมั่ง มีอาการก็มา อาการลดลงก็หยุดหายไป ... การทานจึงยืดเยื้อ กินกันมาหลายปี

ภาพที่เราเห็น คนเหล่านี้จึงยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนพฤติกรรม เพราะสิ่งที่เป็นยังไม่วิกฤติ ปล่อยตัวทำตามนิสัย ไม่มีที่เว้น ... ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดมหันต์

เมื่อมีพฤติกรรมเช่นนั้น ในสถานที่ของศาสนา ก็ไม่เว้น สิ่งที่เกิดตามมานั่นคือ กรรมที่ทำกับศาสนา เมื่อกรรมเดิมยังอยู่ แถมมีกรรมกับศาสนา บวกซ้ำ จนผลผิดเกิด หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า ต่อให้ทานสมุนไพรมากสักฉันใด ก็ไร้ผล

ประวัติศาสตร์นี้จึงถูกหยิบยกมาให้ฟัง เฉกเช่นท่านโกวินธะ แห่งวัดไผ่รื่นรมย์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่แตกตัวมาจากถ้ำกระบอก มาขอให้หลวงพ่อนิพนธ์ช่วยรักษาอาการโรคหัวใจตีบ คำตอบที่ได้รับคือ คนทั้งโลกพอที่จะช่วยได้ แต่สำหรับท่าน ไม่มีประโยชน์ เพราะสิ่งที่เกิด มันไม่ใช่กรรมบันดาล แต่เป็นการทำผิดกับศาสนา เรียกธรรมบันดาล แล้วจะเอาสมุนไพรที่เป็นธรรมหมวดหนึ่งเฉกเช่นกัน ไปช่วย ไม่มีทาง

เจ้าหน้าที่เขาก็หยุดเตือนแล้ว เพราะเตือนกันมากจนหลายท่านรำคาญ แต่นี่คือความจริง เมื่อเราท่านไม่มีที่เว้น ไม่มีอาณาเขตใดๆที่ทำให้ลดกิริยาได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเขตในห้องสวดมนต์ กระโจม ซึ่งเป็นเขตแห่งธรรมแล้วไซร้ ธรรมของพระภูมีอีกบท คือ สมุนไพร จะมีฤทธิ์ไปเปลี่ยนกรรมของท่านก็หาได้ไม่ เพราะทำอย่างไร ได้อย่างนั้น

จึงขอบอกบทสุดท้ายที่อาจจะต้องเจอในเร็ววัน นั่นคือ "ธรรมหมวดอุเบกขา" วันที่หลวงพ่อนิพนธ์ท่านไม่ทนนิสัยของเราท่านอีกต่อไป ในเมื่อเราท่านหยิ่งไม่สนธรรม หลวงพ่อนิพนธ์ก็จะหยิ่งเช่นกัน นั่นคือ ใครไม่ทำ ก็ออกไป สถานที่นี้ไม่ต้อนรับ ... ถึงวันนั้นจะกล่าวว่าไม่มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ก็คงหาได้ไม่ เพราะใช้มาหมดแล้ว เมตตา กรุณา มุทิตา .. แต่หาคนฟังไม่

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44