ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557
อยู่ใต้เงา
มีบุคคลหลายท่าน ที่พยายามสื่อหรือแสดงให้เห็นลักษณะของเมืองไทย นั่นคือ การพยายามทำให้คนในประเทศมีความรู้น้อย หรือ ขาดการศึกษา เพราะนั่นหมายถึง การจะกล่าวสิ่งใด ย่อมหาคนโต้แย้งไม่ได้เพราะไม่มีใครรู้จริง
เราท่านจึงไม่เคยได้รับรู้เรื่องราวที่แท้จริง ที่มีการกล่าวขานโต้เถียงกันอย่างกว้างขวาง รวมทั้งบทพิสูจน์ ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะในวงการแพทย์
จึงอยากจะยกบางส่วนของบทความมาให้เห็นว่าความจริงของโลก ที่คนไทยไม่รู้ ทำให้เราท่านมีความเชื่อผิดๆ จึงทำตาม ท้ายที่สุดผลผิดก็เกิด กว่าจะรู้ก็สายเสียแล้ว
บทความแรก เป็นเรื่องผลการวิจัย เรื่องการบำบัดมะเร็ง ที่กลุ่มนักวิทยาศาสตร์สองฝากฝั่ง คือ ฝั่งอเมริกา ที่ออกมาสนับสนุน การทำเคมีบำบัด แต่ก็ถูกโต้แย้งจากนักวิทยาศาสตร์ฝั่งยุโรป และอีกหลายประเทศ ได้ทำการวิจัยมะนาว และพบว่า ให้ผลที่ดีกว่า เคมีบำบัดมากมาย อีกทั้งปลอดภัยไม่มีผลข้างเคียง
Lemon (Citrus) is a miraculous product that kills cancer cells. It is 10,000 times stronger than chemotherapy.
The source of this information is fascinating: it comes from one of the largest drug manufacturers in the world, says that after more than 20 laboratory tests since 1970, the extracts revealed that: It destroys the malignant cells in 12 cancers, including colon, breast, prostate, lung and pancreas ... The compounds of this tree showed 10,000 times better than the product Adriamycin, a drug normally used chemotherapeutic in the world, slowing the growth of cancer cells. And what is even more astonishing: this type of therapy with lemon extract only destroys malignant cancer cells and it does not affect healthy cells.
Institute of Health Sciences, 819 N. L.L.C. Cause Street, Baltimore, MD1201
Read more at http://www.snopes.com
จากบทความจะเห็นได้ว่า การวิจัยนี้ ให้ผลตรงกันกว่า ๒๐ แห่ง ที่ทำการวิจัย และบทสรุปของการวิจัยก็ชี้ให้เห็นว่า มะเร็งไม่สามารถรักษาได้ด้วยการทำลาย เพราะเป็นเซลล์ที่เกิดตามธรรมชาติ หากแต่กระบวนการที่เหมาะสมในการรักษามะเร็ง นั่นคือ การกำจัดท่อน้ำเลี้ยง เพื่อไม่ให้เติบโต และฝ่อไปเองในที่สุด ซึ่งสารจากมะนาว สามารถทำได้ดีกว่า ยาคีโม ถึง ๑๐๐๐๐ เท่า และยังไม่มีผลข้างเคียง
งานวิจัยเหล่านี้ ถูกเผยแพร่ ตั้งแต่ปี ๑๙๗๐ เพื่อคัดค้านการใช้คีโม อันระบุว่า จะให้ผลดีในครั้งแรกเท่านั้น การใช้ครั้งต่อไป นับแต่ครั้งที่สอง จะมีผลทำลายเซลล์ที่ดีมากกว่าเซลล์ร้าย ทำให้ร่างกายทรุดโทรม และยังไม่สามารถรักษามะเร็งที่เป็นอยู่ได้อีกด้วย
การคัดค้านได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อไม่นานนี้เอง องค์การอาหารและยาของสหรัฐ ต้องประกาศยอมรับว่า การใช้คีโมเป็นสิ่งผิดพลาด และยกเลิก โดยจะเปลี่ยนมาใช้ยาแบบใหม่ที่มีลักษณะแคปซูลแทน หากแต่วงการแพทย์ตะวันตก และยุโรป ก็ยังค้านว่า กระนั้นก็ตาม สารในมะนาวก็ยังมีผลดีกว่ายาแคปซูลนี้ ถึง ๑๐๐ เท่า
ที่สำคัญ ยาคีโมที่คงค้าง และถูกยกเลิก ก็จะถูกระบายมาให้ประเทศโลกที่ยังไม่รู้ ไปอีกประมาณ ๕ ปี จึงจะหมด นี่เป็นเรื่องน่าเศร้า เพราะประเทศเราก็เป็นหนึ่งในประเทศที่รองรับ
ใครสนใจ ก็ไปหาบทความต่างประเทศ หัวข้อ lemon cure cancer ก่อนที่จะเลือกไปทำคีโม...
อีกบทความหนึ่งที่เราเห็นว่ามีผลมาก นั่นคือ เรื่องของคลอเรสโตรอล อันเนื่องมาจาก ความเชื่อที่วงการแพทย์ไทย ให้มาผิดๆ อันเกี่ยวกับน้ำมันจากพืชและสัตว์
บทความงานวิจัย เหล่านี้มีมากมายในต่างประเทศ Difference between Animal Fat and Vegetable Oil?
Vegetable fats are quite different from the animal fats. Vegetables fat is none saturated because it has more than one carbon bond in its structure. On the other hand, animal fat is saturated because it has a single carbon bond in its structure.
นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า วงการแพทย์ไทยปกปิดเรื่องราว เพราะเรียนตำรามาจากสหรัฐ ซื้อยาจากสหรัฐ อ้างสหรัฐมาเป็นบรรทัดฐานตลอด
ความขัดแย้งกันเริ่มจาก การที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐ ประกาศค่าระดับมาตรฐานของคลอเรสโตรอลในคนว่าอยู่ที่ ๒๓๐ จึงจะเป็นปกติ หนำซ้ำยังประกาศว่า ไขมันในร่างกาย มีตัวดี ตัวไม่ดีอีก
และอ้างว่า น้ำมันสัตว์ที่ใช้ทำอาหาร เป็นแหล่งหรือตัวการสำคัญให้เกิดโรคอ้วน หรือไขมันอุดตัน พร้อมกับรณรงค์ส่งเสริมให้ทาน นำมันพืชเพื่อใช้ในการทำอาหารแทน
การกล่าวอ้างนี้ ใช้งานวิจัยที่ทดลองโดยหนู เป็นสิ่งยืนยันสนับสนุน ผลการทดลอง
ต่อมานักวิจัย และนักวิทยาศาสตร์ฝั่งตะวันตก พบว่า อัตราการตายจากโรคหัวใจของประชาชนชาวสหรัฐเพิ่มสูงมากขึ้นอย่างผิดปกติ ทั้งที่ทานน้ำมันพืช ในขณะที่ประชากรในยุโรปหลายประเทศที่นิยมน้ำมันสัตว์ อาทิ ฝรั่งเศส ที่ใช้น้ำมันสัตว์ทำอาหารหลากหลาย ที่สำคัญ ทานกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันทั้งวัน กลับมีผู้ป่วยน้อย
จึงเกิดการรวมตัวทางฝั่งยุโรป เพื่อค้นหาคำตอบ โดยการทำวิจัยจากกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ ๙๐ ปี ขึ้นไป กว่าสามพันคน พบว่า ระดับคลอเรสโตรอลในเลือด อยู่ในระดับประมาณ ๓๐๐
จึงทำการทดลองต่อไปในคน โดยแบ่งกลุ่มเป็นสองประเภท ประเภทหนึ่ง ทานน้ำมันพืช อีกประเภทหนึ่งทานน้ำมันสัตว์ พบว่า กลุ่มทดลองที่เป็นกลุ่มทานน้ำมันสัตว์ กลับมีโรคอ้วน โรคไขมัน น้อย ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่นักวิจัยเหล่านี้ ในหลายๆ กลุ่มพบเหมือนกันนั่นคือ การทานน้ำมันสัตว์ให้ความปลอดภัยกว่า อีกซ้ำยังทำให้ไม่เป็นโรคอ้วน
แปลความหมายก็คือ น้ำมันสัตว์ทุกชนิด ยิ่งกินก็ยิ่งทำให้ผอม นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้คนชาวฝั่งยุโรป มีรูปร่างผอม ทั้งที่ทานแต่น้ำมันสัตว์ และทานเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ต่างกับทางคนในสหรัฐที่เป็นโรคอ้วน กันมากเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งที่ทานแต่น้ำมันพืช
ผลของงานวิจัยยังชี้อีกว่า ไขมันที่มีในร่างกาย ที่วงการแพย์เรียกว่า ตัวดี ตัวเลว แท้จริงแล้ว ไม่มีตัวไหนเลวเลย และ ไขมันทั้งสองชนิดนี้ ไม่ได้เกิดจากการทานอาหารที่มีไขมันสูง แต่เกิดจากการสร้างของตับ และในแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน จึงไม่มีเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว ร่างกายจะปรับสมดุลย์ของทั้งสองชนิดเอง ซึ่งแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า คนไทยในเวลานี้ อุปมาเหมือน "คนโง่ ย่อมเป็นเหยื่อคนฉลาด" ฝรั่งเขาฉลาดกว่า
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์มักเน้นย้ำนั่นคือ อย่าไปตื่นตระหนกกับตัวเลขทางการแพทย์ที่วัดได้ สิ่งใดก็ตามที่ร่างกายสร้าง ร่างกายทำ ย่อมเป็นคุณเสมอ เพราะไม่มีใคร อะไร จะรู้ดีไปกว่าตนของตนนั่นเอง
คนที่ทานสมุนไพร จึงเอาเกณฑ์ทางการแพทย์ไม่ได้เลย ความดันขึ้น เบาหวานขึ้น ไขมันขึ้น ... หรือ น้อยลง หลวงพ่อนิพนธ์บอกให้ดูที่ร่างกาย มีอาการผิดปกติไหม หากยังปกติ มันจะขึ้น จะลง ก็ช่างมัน
การเรียนรู้ จึงเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูตน ... ผู้ใดเบื่อหน่ายการฟัง การเรียนรู้ ย่อมอุปมาเหมือนขาดเข็มทิศเดินเรือ ยากที่จะประสพผล เพราะความเชื่อมันพาเฉไป นั่นแหละความคิดกรรม มันจะพาให้เราท่านกลับไปเส้นทางเดิม คือ ไปพึ่งคนอื่น ตลอดเวลา ...
หากเราท่านได้เปิดหูเปิดตา จักได้รู้ว่า ถึงตอนนี้ โลกเขาเดินมาถึงทางตันแล้ว ยาและวิทยาการ ไม่สามารถตอบโจทย์ในการรักษาได้ การให้ทุนในการรักษาจึงเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ถึงขนาดต้องเปลี่ยนกฎหมายก็ต้องทำ ... ไปประเทศสวิต.. หรือกลุ่มประเทศนี้ จะไปซื้อยาเคมีส่งๆ ไม่ได้เลย เพราะกฎหมายเขาบังคับ หากจะซื้อยาเคมี ก็ต้องใช้สมุนไพรครึ่งหนึ่ง
ประเทศผลิตเองยังกลัว ... แต่เพื่อนคนไทยเรา .. ยังเฮฮาอยู่บนเรือเคมี ทั้งที่เจ้าของเรือ เขาเตรียมลงเรือเล็กหนีแล้ว