ความเป็นปราชญ์ของพระภูมี ทำให้ความรู้ที่นำมาสอน จึงสอนให้เห็นสัจจธรรมความจริง ผู้เรียนจึงกลายเป็นปราชญ์ตามไปด้วย หากแต่ปราชญ์ที่ว่า มีวงเล็บนิดๆ นั่นคือเรื่องของชีวิต
ไปถ่ามเรื่องคอมพิวเตอร์ การใช้ไอโฟน พระภูมีคงตอบไม่ได้ ใช้ไม่เป็น หากแต่นั่นหาใช่แก่นสารของความรู้ที่มีผลต่อชีวิตไม่ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เรื่องทางโลกไม่ต้องถาม คนเก่งมีเยอะแยะ หากแต่เรื่องของชีวิต เชื่อเุถอะ ไม่มีใครรู้ คนทั้งโลกจึงแก้ปัญหาชีวิตของตนไม่ได้ ไปหาใครก็ช่วยไม่ได้ นี่แหละคือความสำคัญของศาสนา ... ซึ่งมีวงเล็บซ้อนวงเล็บอีกว่า ใช้ได้กับเฉพาะคนที่อยากได้
เรื่องของศาสนา จึงเกี่ยวพันกับเรื่องของศรัทธา ความเชื่อ คือ ฟังเหตุและผล เพื่อให้ใจนั้นมาก่อน ... เพราะใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว คนที่ไม่มีใจ ไม่ว่าพระภูมีจะมีฤทธิ์สักฉันใด มีบุญมหาศาลเพียงใด ก็บ่มีไก๋ ช่วยคนผู้นั้นไม่ได้เลย ... จึงมีประวัติศาสตร์ให้ดู นั่นคือ เทวทัต ไง
เรื่องของศาสน์จึงมีช่องโหว่ ให้คนจำพวกที่อาศัยศาสน์หากิน ไว้แอบอ้าง ทำตัวกลมกลืน มีทุกยุคทุกสมัย เพราะรู้ว่า มนุษย์ส่วนใหญ่ มีพื้นฐานเดิมที่ไม่อยากทำตามวินัยของพระภูมีนั่นเอง
ในขณะที่สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา กำลังโดดเด่น การขายสมุนไพร การแอบอ้างสรรพคุณสมุนไพร ก็เริ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ยิ่งหนทางทางเคมีเริ่มตีบตัน หนทางนี้ก็ยิ่งสดใส มั่วนิ่มไปหมด
เราจึงหยิบยกคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ที่ให้เป็นความรู้ว่า สิ่งที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องชีวิต หรือเรื่องโรค จักต้องมีองค์ประกอบสองสิ่ง จึงจักทำได้ สิ่งแรกนั่นคือ คุณสมบัติในการเข้าถึงจุดที่เกิดเหตุ เรียกสิ่งนี้ว่าสารนำร่อง และอีกสิ่งคือ คุณสมบัติในการแก้ไขเหตุที่เกิด
เมื่อพิจารณา ยาเคมี จึงต้องประกอบด้วยสองส่วน ส่วนแรกคือสารนำร่อง ที่ทางเคมีต้องใช้สารหนักที่มีฤทธิ์ให้ร่างกายดูดซึมเร็ว เลือกเอาตามผลที่มีต่ออวัยวะนั้นๆ และอีกส่วนคือ ยาที่แก้ไขอาการ
ปัญหาของยาเคมีจึงมีสองส่วน ในส่วนแรกคือสารนำร่อง ซึ่งเป็นสารหนัก ร่างกายจะมีขีดจำกัดในการกำจัดออกจากร่างกาย เมื่อทานทุกวัน วันละหลายเวลา หลายขนาน ผลก็คือ กำจัดไม่หมด ตกค้างอยู่ในร่างกาย นี่คือระเบิดเวลา ที่รอผลว่าจะไปเกิดที่ใด จึงเรียกว่าอาการข้างเคียง หรือ สิ่งที่ก่อให้เกิดโรคเพิ่ม
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเสมอว่า การทานยาเคมี จึงเสมือนกับว่ากำลังทำบาปเพิ่ม นั่นคือ การทำร้ายตัวเอง ด้วยเหตุนี้
ส่วนหลังคือ ยารักษา ก็ไม่สามารถเข้าถึงต้นเหตุแห่งปัญหาได้ เพราะร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันเป็นด่านๆไป สารนำร่องจึงทำได้แค่เพียงส่งไปแต่ไม่ถึง ติดด่านของร่างกายเหล่านี้ ยาแผนปัจจุบัน จึงใช้วิธีขายผ้าเอาหน้ารอด ยารักษาที่ว่า ที่จริงแล้วจึงกลายเป็นยาระงับนั่นเอง ใช้วิธีบอมบ์ประสาทให้ชาด้าน จะได้ไม่ปวด พิจารณาจากการทาน หยุดทานเมื่อไหร่ บรรลัยเกิด อาการลงแดงมา จนคว้ายามาทานแทบไม่ทัน หนักเข้าก็ใส่ของเทียมเข้าไป หนักสุดแก้ปัญหาไม่ได้ ก็ตัดทิ้งซะงั้น ....
สมุนไพร ก็เฉกเช่นเดียวกัน ต้องมีคุณสมบัติทั้งสองอย่าง แต่ไม่มีพืชชนิดใดที่ทำหน้าที่ทั้งสองอย่างได้ในตัวเดียว หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า ธรรมชาติของสมุนไพร ที่ฟ้าดินเขาสร้าง จึงต้องจับมาแต่งงานกัน จึงจะเกิดฤทธิ์
ความรู้อันเป็นปราชญ์ข้อนี้เอง ทำให้เมื่อเราท่านฟังโฆษณา พืชชนิดนั้นแก้โรคนั้นได้ มีสรรพคุณอย่างนั้นอย่างนี้ จึงเป็นเรื่องฮาหน้าจอ หลอกแดกคนที่หลงเชื่อ เพราะมันเป็นไปไม่ได้
ยิ่งมาเรียนรู้หลักปราชญ์ด้วยแล้ว จักเห็นได้เลยว่า สารนำร่องที่ดีที่สุด ก็คือ สารที่ทานไปแล้วร่างกายแสลงนั่นเอง เพราะนั่นคือสารที่เข้าถึงที่เกิดเหตุได้เร็วและดีที่สุดตามธรรมชาติ
จึงไม่ต้องแปลกใจ คนเป็นไต สูตรสมุนไพรพระภูมี ใส่เกลือซะงั้น คนเป็นเบาหวาน วิทยากรก็บอกให้กลับไปเริ่มทานทองหยิบทองหยอดทีละน้อยๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ จนทานทุเรียนเป็นพูเลย คนมีอาการที่ปอด ก็ต้องใส่กานพลูลงไป เพราะเป็นสารระเหยซึมเข้าปอดเร็ว ... สารเหล่านี้ไม่มีหน้าที่รักษา แต่พาไปยังจุดเกิดเหตุได้ตรงเป้าแม่นยำตามธรรมชาติ ที่สำคัญ ภูมิของร่างกายตอบรับปล่อยผ่านให้เข้าได้ แต่บอกห้ามทาน แล้วจะรักษายังไง
ที่สำคัญ สมุนไพรตัวหนึ่งๆ แม้นจะมีสารที่ร่างกายต้องการนำไปใช้ แต่ลำพังตัวเอง เมื่อทานไปแล้ว ร่างกายไม่ตอบรับ ไม่สามารถนำสารนั้นไปใช้แก้ปัญหาได้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่างให้เห็นเสมอ อาทิ สารจากมะนาว แก้ไขอาการไอ เสลด สารจากขิง ที่มีฤทธิ์แก้โรคลม ... ทานมะนาว ทานขิงให้ท้องแตก ก็แก้โรคไอ โรคลมไม่ได้ นี่แหละคือธรรมชาติ ที่สมุนไพรต้องมีคู่ เพื่อให้เกิดฤทธิ์ กลายเป็นสารที่ใช้แก้อาการของตนได้
ความรู้ของสมุนไพร จึงอยู่ที่สัดส่วนเช่นไร จึงจะเกิดผล ซึ่งไม่มีใครรู้ ก็ลองผิดลองถูก ทำมาขาย ให้คนซื้อไปเป็นหนูทดลองกันเอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกไม่มีทาง หากไม่มีแม่ชีเมี้้ยน ที่รู้ แล้วมาบอก หาให้ตายก็ไม่มีทางได้สัดส่วนนั้นมา
นี่แหละ หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวเสมอว่า แม่ชีเมี้ยน ถึงไม่ได้เรียนหนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่ไม่ธรรมดา เพราะพอพระถามปุ๊บ ท่านก็ตอบปั๊บ ให้พระจดแล้วไปทำให้คนไข้กิน
เรื่องที่ฟังแล้วฮาสุดๆ เพราะกำลังเป็นที่นิยมกัน นั่นคือการล้างพิษ กาแฟล้างพิษตับ ล้างพิษลำไส้
การล้างพิษ นั่นคือ การทำความสะอาดทั้งหมด ไปทั้งของเสียและของดีที่ร่างกายต้องการ ผลที่ได้คือ อาการที่ดีขึ้นเนื่องจากไม่มีของเสียในระยะสั้น แต่ผลระยะยาวคือ อาการที่เกิดจากขาดสารของร่างกาย ... ช่างได้ไม่คุ่้มเสียเลย เสียทั้งเงิน เสียทั้งชีวิต
คนโบราณ ที่ถูกกล่าวขานว่าโง่ กว่ายุคปัจจุบัน แต่กลับรู้ว่า สิ่งที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง นั่นก็คือ ภูมิ ของร่างกายนั่นเอง ดังนั้น จึงสร้างวัฒนธรรม การกินบางสิ่งบางอย่าง เพื่อกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิ เท่าที่ทำได้ สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัด นั่นคือ การทานพิษ เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิ ต่อต้านพิษขึ้น จึงเป็นที่มาของการทาน ชา และ กาแฟ จนปัจจุบัน นั่นเอง
พวกที่ทานเอาอร่อย นั่นมันผลพลอยได้ ที่บรรพบุรุษเขาทานกัน เพราะรู้ว่า ในพืชเหล่านี้ จะมีพิษอ่อนๆ คือ คาเฟอีน เมื่อทานแล้วจะไปสะสมในตับ กระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิขึ้นมาเพื่อต้านพิษ ตับก็จะแข็งแกร่ง ทนพิษได้สูง เมื่อตับแข็งแกร่ง ร่างกายก็แข็งแกร่งตาม
วัฒนธรรมความรู้เช่นนี้เอง จึงถูกสร้างให้เด็ก ได้เล่นน้ำฝน ได้เล่นดิน เจอแดด เจอลม ร่างกายจะได้แข็งแกร่ง แต่มายุคนี้ โดนอะไรนิดก็ไม่ได้ ไปไหนก็ต้องฆ่าเชื้อ ... ก็ไม่แปลกเลยที่ว่าคลีนิคหมอเด็ก ต่อคิวกันยาวทุกวัน เพราะพฤติกรรมทำลายภูมิที่สอนกันในยุคนี้นั่นเอง
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น นั่นคือ ธรรมชาติของสมุนไพร จึงต้องมีคู่ เพราะสมุนไพรบางสิ่งเป็นพิษ ทานไปโดดๆ อาจถึงตายได้ เช่น พญามือเหล็กที่นำมาทำยาเขียวให้ตาย ซึ่งมีสารเช่นเดียวกับยาฆ่าหญ้านั่นเองในตัวมัน ที่สำคํญกว่านั้น ธรรมชาติกำหนดเป็นบทตายตัวเลยว่า แปรรูปได้ แต่ห้ามสกัด ... เพราะกระบวนการสกัดจะทำลายคุณค่าของสมุนไพรไป จนไม่เหลือค่าในการรักษา
ถึงตอนนี้ ก็พิจารณาเอาเองเถิดว่า ที่คุยโว ต้นนี้สรรพคุณดีอย่างนี้อย่างนั้น แก้โรคนั้น โรคนี้ ชะงัดนัก ... รับรองผล หรือ เป็นสมุนไพรสกัด มากสรรพคุณ ... ใครจะซื้อก็ไม่ว่ากัน สำหรับเรา ฟังแล้วฮา อย่างเดียว หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า หากมันดีจริง ใช้ได้ผลจริง ไม่ต้องรอคนไทยซื้อหรอก ฝรั่งมันเหมาไปให้คนของตนหมดแล้ว เพราะบ้านเขาเมืองเขา คนเป็นโรคก็เต็มเมือง
ท้ายที่สุดหลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า เอาไว้ใช้ส่อง นั่นคือ ผลแห่งการรักษา คือกลับมาเป็นธรรมชาติเหมือนเดิม อยากทานอะไรได้ทาน ดังนั้น หากจะเลือกสิ่งใดทานเป็นยารักษาตน เมื่อทานแล้วบอกห้ามทานโน่น ห้ามทานนี่ .... แล้วจะเรียกรักษาได้อย่างไร อาทิ ทานยารักษาเบาหวาน แต่ต้องงดหวาน งดไปงดมา ข้าวก็ต้องงด ก็ยังทานอยู่ ท้ายที่สุด แม้นแต่น้ำตาลยังทานไม่ได้ วันๆใช้ชีวิตกับวุ้นเส้น นั่นนะหรือยารักษา