นั่นคือการรักษาตนเอง ทั้งสองทาง โดยใช้สมุนไพรล้างโรค และบุญล้างบาป ไม่ว่าโรคใด ผู้ที่ทำได้ ล้วนประสพผลกันมามากต่อมาก
โดยเฉพาะผู้ที่หมอกำหนดวัน ให้ทำใจ อาทิเช่นโรคมะเร็ง นับย้อนไปในปี ๓๐ คนแรกที่มาก็คือโยมเชื่อม ผู้เป็นมะเร็งปอด ขั้นสุดท้าย วิธีนี้ก็ถูกเสนอไปและได้รับการตอบรับ
โยมเชื่อม บวชเป็นพระ กินมื้อเดียว ปฏิบัติวินัยของพระพุทธเจ้า อยู่มาจนทุกวันนี้
เมื่อาคารมะเร็งแล้วเสร็จ เริ่มการเปิดรับคนไข้ใน ข้อเสนอนี้ก็จะถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งสำหรับผู้ที่อาการสาหัส ให้เป็นทางเลือกทำ สักสามเดือนหกเดือนหรือปีหนึ่ง
เอาเป็นว่าวิธีนี้ หลวงพ่อนิพนธ์มั่นใจว่ารอดถึง เก้าในสิบคน อย่างแน่นอน
มีคนเคยถามว่าคนไข้มะเร็ง ทานมื้อเดียว จะอยู่ได้หรือ ในเมื่ออาหารจะถูกเซลล์มะเร็งแย่งกิน ตามที่รู้ๆ กัน
แต่สิ่งที่คนไม่รู้ วิชาการสมัยใหม่ ไม่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ นั่นคือระยะเวลาในการย่อย ของมนุษย์นั้นเร็วกว่ามะเร็งมาก ดังนั้น ในขณะที่หมอหรือวิชาการแขนงอื่น สอนให้นอน พักผ่อนมากๆ พระภูมี กลับสอนให้ย้อนเกล็ด นั่นคือ ห้ามนอน
นั่นคือหากิจกรรมทำทั้งวัน ทำให้ร่างกายตื่นตัว เมื่อถึงเวลาอาหาร ยิ่งทานมื้อเดียว ร่างกายหิวโหย ก็จะย่อยสลายดูดซึมอาหารได้เร็ว และที่สำคัญ หมดเกลี้ยงไม่เหลือให้เซลล์มะเร็งได้กิน
นั่นหมายความว่า มะเร็งกำลังเจอศึกสองด้าน ด้านหนึ่งต่อสู้กับสมุนไพร อีกด้าหนึ่ง กำลังจะอดตาย ทหารกองใดไร้เสบียง ช้าเร็วต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
เราท่านจะได้เห็นว่าบุญมีจริง ให้ผลที่เฉียบขาด
นั่นจะทำให้เห็นว่า การช่วยตนเต็มรูปแบบ และถูกต้อง ควรจะทำอย่างไร ไม่ใช่ที่ทำกันแบบทุกวันนี้ ที่ซึ่งหวังผลยาก มาทำเล่นกัน จนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาหนีหมด