ทำไมต้องฟังคำสอน ก็เพราะเรื่องของบุญ เรื่องของศาสนาที่แท้จริง มันถูกกลบ และถูกกลืน ไปหมดแล้ว
การกระทำที่เราท่านทำอยู่ มันจึงไม่เกิดผล ไม่เป็นบุญย้อนมาคุ้มครองตน
บุญสมัยนี้ ไม่ว่าไปที่ไหนๆ ก็ใช้เงินสร้าง ใช้วัตถุสร้าง พรสมัยนี้ ไปที่ไหนๆ ก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ร้องขอได้
เมื่อมาเจอหนทางบุญของพระพุทธเจ้าของจริง จึงกระเด็นกระดอน เพราะ เจอคำตอบ "อาตมามีธรรม สอนให้นำไปปฏิบัติ หากทำได้ ก็จักได้ในสิ่งที่ขอ
รายละเอียด ยังต้องลงลึกไปกว่านั้นอีก นั่นคือ การตั้งเจตนา หรือ อุปาทาน ครั้นเมื่อทำได้ เรียกว่า เป็นเจตสิก ผลแห่งการทำนั้นก็ยังไม่ปรากฎ ตามคำพรนั้น
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ผลแห่งการกระทำ เหมือนเราท่านได้ยักษ์ในตะเกียงวิเศษ แม้นจักมียักษ์ มีฤทธิ์เดชอันมหาศาล ก็จักหาประโยชน์ไม่ได้เลย เพราะยักษ์ไม่รู้ว่าตนต้องทำอะไร
ดังนั้น เมื่อการกระทำของเราท่านเป็นผล เป็นเจตสิกแล้วไชร้ จึงจักต้องบอกหรือสั่งให้ยักษ์นั้นทำอะไร
กระบวนการในการสร้างบุญ ที่ครบองค์ จึงถูกสอนในยามที่เราท่านเข้าห้องสวดมนต์ เป็นต้นแบบที่ให้เรียนรู้แล้วนำไปใช้
เริ่มจากประกาศ อุปาทาน แล้วสวดมนต์ เมื่อทำแล้วเสร็จ ก็ประกาศเจตสิก เจตนา แห่งการกระทำนั้น เพื่ออะไร ดังจะเห็นว่า เมื่อเราท่าน ใช้เวลาปกติสร้างกรรม มาสงบนิ่ง แล้วกล่าววาจาที่เป็นบุญ เมื่อทำได้ ก็ประกาศในตอนท้ายให้ยักษ์ทำงาน ว่า เพื่ออุทิศแก่เจ้ากรรมนายเวร ... เป็นต้น
กระบวนการทานสมุนไพรก็เฉกเช่นเดียวกัน ยิ่งถ้ามีการกระทำ ดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน ก่อนทานสมุนไพรเขียว จะทำจิตทำใจไม่โกรธ ๑ ชั่วโมง เมื่อครบเวลา ก็มาทานสมุนไพรเขียว แล้วอธิษฐาน ผลแห่งการกระทำ และผลแห่งอำนาจสมุนไพร ด้วยแล้ว .... โรคอะไรจะมาเหลือ
หลวงพ่อนิพนธ์เห็นความสูญเสียในส่วนนี้ ทำให้การกระทำของเราท่าน ไม่เป็นผลเท่าที่ควร ในไม่ช้า ก็จักมีการพิมพ์ การกล่าว เพื่อประกาศเจตนา ให้ไปทำให้ถูก ในเร็วๆนี้
เรื่องของศาสนา เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ... ฟังให้มาก ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แล้วค่อยปะติดปะต่อ นำมาใช้กับชีวิต ... ใครเบื่อ ไม่อยากฟัง ... นั่นแหละกรรมมันบัง น่าเสียดายนัก มาถึงที่กลับไม่ได้อะไรเลย ในเรื่องของชีวิต