วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การพิจารณาโรคของพระภูมี

แวะเวียนไปในโลกไซเบอร์ ที่ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดความเห็น ก็ได้เห็นว่า ชมรมแห่งนี้ คนรักก็เยอะ คนเกลียดก็มาก

สิ่งหนึ่งที่มักพบเห็นบ่อย สำหรับการนำมากล่าวอ้าง ในหมู่คนที่เกลี่ยดชมรมแห่งนี้ นั่นคือ "การตาย" ของคนไข้ ที่ได้ผ่านเข้ามาในสถานที่แห่งนี้

ความข้อนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ ได้อรรถาธิบาย เพื่อให้เห็นความจริงที่ปรากฎ ว่าพระภูมีได้ทรงสอนเช่นไร

แม่ชีเมี้ยน กล่าวสอนว่า พระภูมี เป็นผู้ตรัสรู้แจ้งเห็นความจริง คือ ธรรมชาติของมนุษย์ ที่สำคัญคือ ความรู้เรื่อง กรรม

ท่านจึงตรัสว่า มนุษย์ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพียงอย่างเดียว และไม่ต้องไปหาที่อื่น เพราะสิ่งนี้ติดมากับตัว ตั้งแต่เกิด นั่นคือ กรรม หรือ ที่เรียกกันทั่วไปว่า "หรหมลิขิต"

จนเป็นคำกล่าวถึงความศักดิ์สิทธิ์นี้ให้เข้าใจง่ายๆ ในการคุ้มครองตนว่า "ไม่ถึงที่ตาย ไม่วายชีวาวาตย์" นั่นเอง

ดังนั้น ศาสตร์ของพระภูมี ในการรักษาตนจากโรคภัยไขเจ็บ จึงสามารถวินิจฉัยว่า คนที่มานั้น ป่วยด้วยโรคอะไร เพียง ๒ ประเภทเท่านั้นเอง

ประเภทแรก คือ โรคพรหมลิขิต นั่นคือ กรรมดลบันดาลให้เป็นโรค เพื่อมาดับอายุขัยของคนผู้นั้น

หากเป็นโรคเช่นนี้ แม้แต่พระภูมีเอง ก็ช่วยไม่ได้ เพราะไม่มีวันเวลาเหลือแล้วนั่นเอง

การช่วยคนประเภทนี้ ก็คือ การทานสมุนไพรเพื่อช่วยให้ ไม่ทุกข์ทรมาน อาทิเช่น ลดอาการปวด ผลที่คาดหวังสูงสุด นั่นคือ การให้ผู้ป่วย จากไปเมื่อถึงอายุขัย อย่างสงบ ไม่ใช่ไปด้วยการบีบเค้นจากโรค เท่านั้นเอง

ประเภทที่สอง เรียกว่า "โรคอุบัติเหตุ" อันได้แก่ การมีพฤติกรรมที่ผิด จนเกิดโทษกับตน หากแต่ยังไม่ถึงอายุขัย

ประเภทนี้ สมุนไพร จึงเป็นทางเลือกที่จะทำให้ หลุดจากโรคภัยอันนี้ได้ และอาศัยคำสอน เพื่อปรับแต่งพฤติกรรม ที่ผิด ให้กลับมาอยู่ในร่องของพระภูมี เพื่อไม่ให้เกิดโรคใหม่อีก

หากบุคคล ที่อาศัยสมุนไพรช่วยตนแล้ว ไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก็จะเกิดโรคใหม่ เข้าตำรา "หนีเสือ ปะจรเข้"

เหตุนี้เอง พหูสูตรที่หลวงพ่อนิพนธ์ นำมาใช้ในการรักษาตน จึงสรุปเป็นคำขวัญ "สมุนไพรรักษาโรค ธรรมรักษากรรม"

และก็เป็นคำตอบว่า ทำไมท้ายที่สุด ผู้ที่จะเดินทางเส้นนี้ จึงต้องเรียนรู้ธรรมคำสอนของพระภูมี เพื่อเปลี่ยนตน เป็น "คนดี"

หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า "เพราะดีของโลก กับดีของพระภูมี มันคนละเรื่อง"

หลายคนที่เป็นโรค แล้วกล่าวอ้างตนเสมอว่า เป็นคนดี ทำบุญมาชั่วชีวิต ไม่เคยฆ่าสัตว์ ไม่เคยทำร้ายใคร ทำไมถึงเป็นโรค

ก็นั่นมันดีของโลกนั่นเอง

ความจริงข้อนี้ เราท่านจะเห็นหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอ โดยเฉพาะบทเริ่ม นั่นคือ "การฆ่าตนเอง หรือ ทำร้ายตนเอง โดยเจตนา" อันเนื่องจากการทานยาเคมีนั่นเอง

เมื่อพิจารณา วินิจฉัยทั้งสองกลุ่ม ก็จะรู้ว่า กลุ่มหลัง เข้าข่าย "ใครทำ ใครได้ หรือ ใครทำ ใครรอด" นั่นคือ มีโอกาสรอดได้ หากทำตามพระภูมี

ส่วนกลุ่มแรก ไม่ว่าหน้าไหน ก็ไม่รอด นับวันถอยหลังได้เลย ตามแต่อายุขัยที่เหลือ สิบวัน หนึ่งเดือน หรือ หนึ่งปี

หากแต่อย่างน้อย สมุนไพรและพฤติกรรมที่ปรับเปลี่ยนมาทำตามพระภูมี จะไม่ทำให้คนกลุ่มแรกรอดได้ก็ตาม ก็ทำให้คนเหล่านี้ที่ทำตาม ไม่ตายด้วยความบีบเค้นจากโรค

ภาพที่เห็นได้ จากคำอธิบายของหลวงพ่อนิพนธ์ นั่นคือ เมื่อถึงเวลา คนเหล่านี้ ก็จะบอกว่า ง่วงแล้ว แล้วก็จากไปอย่างสงบ

ทำให้เรานึกถึงภาพอันนี้ได้ จากคนไข้หญิงท่านหนึ่ง ที่เธอผ่านหมอมาจนร่างกายไม่ไหว เป็นหลานสาวของท่านสังฆราชองค์ปัจจุบัน เธอมาพบหลวงพ่อนิพนธ์ ในขณะที่อาการของเธออยู่ในวิกฤต

เธอกล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า เธอรู้ตัวดีว่าเธอไม่รอดแน่ แต่ขอให้หลวงพ่อนิพนธ์ช่วยเธอไม่ให้ทรมาน เหมือนที่เป็นเธอก็พอใจ

เธอทานสมุนไพร และทำตามที่หลวงพ่อนิพนธ์บอกทุกประการ

อาการของเธอค่อยๆลด และหายไป จนวันสุดท้าย เธอตี่นขึ้นมาทานสมุนไพร ตามที่หลวงพ่อนิพนธ์สั่ง แล้วโทรมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ กราบขอบคุณ และกล่าวลา บ่ายวันนั้น พี่สาวเธอโทรมาเรียนหลวงพ่อนิพนธ์ บอกว่า น้องสาวบอกว่า ง่วงแล้ว ขอหลับน่ะ ฝากกราบหลวงพ่อนิพนธ์ด้วย แล้วก็หลับ

นี่จึงเป็นภาพที่ คนไข้กลุ่มแรก พึงอยากได้ ไม่ใช่การรอด

ดังนั้น ใครจะเหมามาว่า มาทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนแล้วต้องรอด เมื่อไม่รอดก็โมเม ว่า "ไหนว่าสมุนไพรดี หรือ สมุนไพรทำให้ตาย" ก็ว่ากันไป แต่เราถือได้ว่า คนแบบนี้ คือคนไม่เอาเหตุเอาผล

ก็ถ้าสมุนไพร หลอกลวง ช่วยใครไม่ได้ ทำไมสมุนไพรหม้อเดียวกัน มีคนรอดให้เห็นเล่า ....

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงทิ้งท้ายเสมอว่า สำหรับเรา ไม่มีคำว่า โรคหนัก อาการหนัก สิ่งที่หนักมีเพียงประการเดียวนั่นคือ "นิสัยของคน"

หากเปลี่ยนความคิด ความเชื่อเขาไม่ได้ เพื่อให้มาอยู่ในร่องของพระภูมี นี่แหละเรียกว่า "หนัก" เพราะวันหนึ่ง เมื่อเขาไม่ประสพผล เขาจะย้อนมาว่าเรานั่นเอง ตีโพย ตีพาย เพราะไม่ยอมรับความจริง หรือ เหตุผล

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44