จิตอาสาสองท่านที่ทำงานร่วมกัน มีอาการโรคที่รุนแรงพอๆ กัน และก็มาเป็นจิตอาสาในระยะเวลาใกล้เคียงกัน
หากแต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป กว่าขวบปี ที่คนทั้งสองได้มาเป็นจิตอาสา
คนหนึ่งมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ จากสารพัดโรค มาวันนี้ ก็เหลือเพียงโรคเดียว
อีกคนหนึ่ง เป็นมะเร็งเพียงโรคเดียว มาจนวันนี้ อาการก็ยังไม่ดีขึ้น
จิตอาสาคนที่สอง จึงกล่าวด้วยความสงสัย เพราะเห็นเพื่อนจิตอาสาด้วยกัน ดีวันดีคืน จนปัจจุบันผลการตรวจร่างกายครั้งหลังสุด ก็เหลือโรคเพียงแค่โรคเดียว ว่าทำไมตัวเขาจึงไม่เห็นดีขึ้นเลย ทานสมุนไพรมาตั้งนาน
จิตอาสาคนแรก จึงถามคนที่สองว่า ทำไมถึงมาเป็นจิตอาสา คนที่สองจึงตอบว่า เพราะจะได้ขอสมุนไพรไปให้คนป่วยที่บ้านอีกสองคน ก็เท่านั้นเอง
จิตอาสาคนที่สอง ก็ถามคนแรกด้วยความสงสัยเมื่อเห็นพฤติกรรมของจิตอาสาคนแรก ที่ทุกครั้งต้องขึ้นไปกราบแม่ชีเมี้ยน และไปกราบหลวงพ่อนิพนธ์ทุกครั้งก่อนกลับบ้าน
เขาบอกกับจิตอาสาคนแรกว่า " ทำไมต้องไปกราบด้วย ท่านไม่ได้มีอะไรวิเศษเลย นอกเสียจากทำยาสมุนไพรเก่ง ก็เท่านั้นเอง"
จิตอาสาคนที่สอง ก็กล่าวอีกว่า ตั้งแต่มาตัวเขาเองยังไม่เคยขึ้นไปกราบแม่ชีเมี้ยนเลย จะมีก็แค่ครั้งเดียว คือ เมื่อวันงานระลึกคุณที่ผ่านมา เห็นคนเดินขึ้นไป ก็เดินตามไป เท่านั้นเอง
บทสนทนาของคนทั้งสอง ทำให้เราได้สิ่งยืนยัน ในคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่กล่าวเสมอว่า "โรคไม่ได้จบด้วยสมุนไพรเพียงอย่างเดียว"
นั่นเองจึงเป็นเหตุที่ว่า ถึงแม้จิตอาสาคนที่สอง จะได้สมุนไพรไปทานอย่างเพียงพอ ตามที่ตนต้องการ แต่อาการของเขา ไม่ได้ดีขึ้นเลย อย่างเก่งก็แค่ทรง
หลวงพ่อนิพนธ์ และ อ.อร่าม จึงมักกล่าวว่า สถานที่นี้ ไม่ใช่วัด หากแต่สิ่งที่มี สิ่งที่เป็น ยิ่งกว่าวัดอีก .....
สมุนไพรหม้อเดียวกัน บางคนทานหาย บางคนไม่หาย ไม่ได้เนื่องจากสมุนไพร หากแต่เป็นด้วย พฤติกรรมของคน มันต่างกรรมต่างวาระ สมุนไพรจึงให้คุณหรือทำเฉย ตามการกระทำ
นี่แหละจึงเรียกสมุนไพรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีวิญญาณ รับรู้การกระทำของคนทาน .....
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงย้ำเสมอว่า อย่ามาเหมารวม ว่า สมุนไพรดี ทานแล้วต้องหายทุกคน ... ไม่ใช่ .... ไม่ใช่ ....
มันขึ้นกับ พฤติกรรมของคนทานด้วย ว่าทำตนเป็น ใบหยก หรือ ใบตำแย ที่จะมาเข้ากับกี่งทอง ..... หากไม่ใช่ใบหยกแล้วไซร้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ถึงจะทานเป็นแกลลอน ก็บ่มีไก๋ ... เหมือนทานน้ำ หาผลอะไรไม่ได้เลย