หลายคนเคยคุยกับเรา ถามว่า อยากพาคนโน้นคนนี้ ที่รักกันสนิทกัน หรือสงสารเขา มาที่ชมรมจะได้ไหม จะดีไหม
ตัวเราเองก็เคยคิดเช่นนี้เหมือนกัน สมัยสิบปีก่อน ความคิดที่เคยเกิดในสมอง เมื่อช่วงก่อนหน้านั้น หลวงพ่อนิพนธ์ได้รับคนไข้เอดส์ไว้กลุ่มหนึ่ง เพื่อทดลองสมุนไพร
หลังจากที่คนไข้กลุ่มดังกล่าวดีวันดีคืน และไม่มีอาการเอดส์ปรากฎให้เห็น ร่างกายแข็งแรง กลับมาแบกหินแบกทรายได้ ช่วยงานก่อสร้างของหลวงพ่อนิพนธ์ได้
ความคิดที่เคยเกิดขึ้น นั่นคือ หากเราชักชวนโน้มน้าวคนที่เป็นโรคนี้ และเป็นที่รู้จัก มารักษาที่หลวงพ่อนิพนธ์ได้ก็ดี
ด้วยหวังว่า เมื่อเขาหาย จะทำให้คนอีกมากมายเห็น และมีโอกาสรอดจากโรคที่ โลกเขาบอกว่าร้ายแรง เป็นแล้วต้องตาย
ซึ่งคนเหล่านั้น เมื่อรู้ตนว่าเป็น ก็หมดกำลังใจ ท้อแท้ สิ้นหวัง ซ้ำร้ายสังคมรังเกียจ จะได้มีความหวัง และตั้งใจเป็นคนดี เพื่อรับชีวิตใหม่ เพราะคนเหล่านี้ หลายคนเป็นคนมีความรู้ ความสามารถ
ความคิดนี้เอง ทำให้เกิดอาการ "เสือก" ของเราเกิดขึ้น
ในตอนนั้น เราจึงเข้าไปในเวปบอร์ดชื่อดัง เพื่อชวนชัก หัวขบวน และอย่างน้อย ก็พกพาเด็กๆที่เป็นโรคนี้ มาเพื่อให้หลวงพ่อนิพนธ์รักษา
ผลที่ได้ โดนถล่มยับ เย็บแทบไม่ทันจากเวปบอร์ดนั้น
หลวงพ่อนิพนธ์ เคยกล่าวเรื่องเหล่านี้ว่า เรื่องของสมุนไพรเป็นเรื่องของวาสนา เป็นเรื่องของคนกลุ่มน้อย
ประวัติของพระภูมี ก็เห็นชัดว่า สาวกท่าน มีไม่ถึงแสน หากเทียบแค่อินเดียประเทศเดียว ที่สมัยนั้นมีคนเป็นร้อยล้าน ยิ่งถ้าเทียบกับคนในโลก ยิ่งเป็นกลุ่มคนหยิบมือเดียว
อันหมายความว่า คนที่จะเข้าถึงพระภูมี ย่อมต้องว่ายทวนกระแสของโลก ทนต่อเสียงคนรอบข้าง ที่ถาโถมเข้ามา เหตุนี้แหละจึงเรียกว่า วาสนา
ท่านจึงแนะนำว่า หากอยากช่วยใคร ยังไม่ต้องพามาหรอก ลองทดสอบวาสนาของคนเหล่านั้นดู ให้เขาลองทานยาเขียวสักแก้ว แล้วดูผลที่เกิด นั่นก็เป็นคำตอบที่รู้ได้ว่า เส้นทางสมุนไพรพระภูมี เหมาะเป็นทางเลือกของคนคนนั้นหรือไม่
ผ่านมาสิบปี รายล่าสุดที่ชวนมาทานสมุนไพร ก็คือเพื่อนสนิท ที่ครอบครัวเขาต่อต้านสมุนไพรสุดลิ่ม ก็ต้องรอจนฝาโลงแง้ม นั่นคือ เข้าไอซียู และหมอสั่งให้ทำใจ จึงไปแชะมาให้ทานสมุนไพร ญาติจึงไม่มีใครค้าน แล้วเพื่อนก็รอด อยู่มาจนทุกวันนี้
แต่ตอนนั้น ก็ลุ้นอยู่เหมือนกันว่า หากเพื่อนไม่รอด แม่เพื่อนและญาติคงสับเราเละเป็นแน่แท้ ก็ถือว่ายังมีโชค
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวเสมอว่า สมุนไพรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา คนที่เหมาะที่สุดในการทาน นั่นคือ คนที่อยู่ในสภาวะ "แง้มฝาโลง" นั่นเอง
เพราะคนเหล่านั้น ได้บทพิสูจน์แล้วว่า ไม่มีอะไร สิ่งใด ในโลก ที่เขายึด หรือนับถือ ช่วยเขาได้แล้วนั่นเอง
เมื่อทางเลือกนี้เป็นทางเลือกสุดท้าย จิตจึงมุ่งมั่น แล้วทำตามคำสอนได้ง่าย
กระนั้นก็ตาม อย่ารอให้ฝาโลงแง้ม แล้วจึงคิดได้เลย ... ดีกว่า
เรื่องนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวให้ฟังว่า "หมูเขาจะหาม อย่าเอาคานไปสอด" กรรมเขาจะเล่นแล้ว หากคนผู้นั้นไม่มีจิตฝักใฝ่ในทางเลือกนี้ พิจารณาให้ดี หากจะเข้าไปยุ่ง