ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554
หนูทดลอง
ความหวังเล็กๆ ของคนจนที่เราเห็น คือ ใช้ความสามารถทางกีฬาที่ตนมีอยู่ ไต่ไปให้ถึงดวงดาว เพื่อพลิกฟื้นโชคชะตา ให้กลายมาเป็นผู้มีฐานะ หรือมีความมั่นคง
ในอดีตเราจะเห็นได้ว่า เหรียญทอง ในกีฬาระดับชาติ คือหนทางไต่สู่บันไดฝัน แต่ก็มีน้อยคนนักที่ไปถึงฝั่งฝัน อาจถูกสกัดกั้น ด้วยขีดความสามารถของตนเอง แต่จะเป็นการน่าเสียดายอย่างยิ่ง ถ้ามันถูกสกัดกั้น ด้วยอาการบาดเจ็บเรื้อรัง ที่หมอ หรือ วิธีการใดๆ ที่วงการกีฬาใช้ ไม่สามารถช่วยได้ ทำให้ฝันต้องพังทลาย
วันนี้ จากบุคคลใกล้ชิด ของผู้จัดการทีมกีฬาระดับชาติ ที่ได้สัมผัสด้วยตาตนเอง ทำให้เกิดความมั่นใจ จึงทำให้นักกีฬาที่มีความสามารถ แต่ต้องพ่ายแพ้สังขารที่บาดเจ็บ กลับมามีโอกาสไต่ฝันอีกครั้งหนึ่ง
สมาคมที่เป็นหนูทดลอง สมาคมแรกคือ สมาคมยกน้ำหนัก อันมีจีนเป็นคู่ต่อสู้หลัก เริ่มมาฟื้นฟู และเสริมสร้างร่างกาย ด้วยสมุนไพรไทย แทนสมุนไพรจีน เมื่อเราสามารถรักษาคนมีฝีมือ พร้อมทั้งทำให้ศักยภาพ ถึงขีดสุด แล้วจะยังต้องกลัวใคร
ตามติดมาด้วย สมาคมมวยสากลสมัครเล่น ที่พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ มั่นใจถึงความสมบูรณ์ของนักมวยทุกคน ด้วยสมุนไพร สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ก็มีทาง เราจึงเห็น มนัส บุญจำนงค์ ที่มีอาการเจ็บหลังเรื้อรัง ก็คลี่คลาย มีน้ำหนักเกิน ก็ใข้กระโจม ทำให้น้ำหนักลดลงเข้าสู่พิกัดได้อย่างพิศวง หนูทดลอง ในทีมมวยทั้งชายหญิง กำลังจะเปิดโลกของความฝันของพวกเขา
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เนื่องด้วยทุกคนล้วนแล้วแต่มีอวัยวะ 32 ทั้งหมดทั้งสิ้น และด้วยเหตุที่สมุนไพร ของแม่ชีเมี้ยน ถ่ายทอดมาให้ ท่านย้ำว่า "เป็นสมุนไพรที่มีวิญญาณ" และปาฏิหาริย์ของธรรมชาติ ที่มีความสามารถในการฟื้นฟูตนเองได้อยู่แล้ว ถ้ามีวัตถุดิบที่ต้องการ สิ่งเหล่านี้ จึงสอดคล้องกัน เหมือนกิ่งทองใบหยก ทำให้เราได้เห็น ปาฏิหาริย์ของธรรมชาติที่ให้มา สิ่งที่เราคิดว่าเจริญ วิทยาการสูงส่ง เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่ธรรมชาติให้มาแล้ว ห่างไกลกันจนเทียบไม่ได้เลย สิ่่งที่วิทยาการจนปัญญา เมื่อกลับมาในแนวทางธรรมชาติ กลับง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่่อ
หนูทดลองสองกลุ่มนี้ จะเป็นคำตอบว่า สิ่งที่ดูว่ายากในการพลิกฟื้นโชคชะตา เมื่อมาพบสิ่งถููกตามธรรมชาติ ตามบทบัญญัติ ฝันที่ไกลก็ไปถึงได้โดยง่าย ด้วยความสมบูรณ์อย่างสุดขีด ที่ไม่มีคนในชาติใดเคยมีมาก่อน เป็นกำลังหนุน
ในอนาคต คนที่มาทานสมุนไพร กลับกลายเป็นเหล่านักกีฬา มากกว่าคนไข้ก็เป็นได้ เพราะคนเหล่านั้นมุ่งมั่น และมีฝันที่ไกล และอยากไปให้ถึง เพื่อตัวเขาและคนรอบข้าง .... ถ้าหนูสองกลุ่มนี้ประสพผลถล่มทลายอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์วงการกีฬาไทย ล้มสถิติระเนระนาด
เราจะได้เห็นสมุนไพรไทย อาละวาดในวงการกีฬา กันแล้ว มาคอยดูกัน
วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554
เรื่องของกรรม
ขอบคุณภาพจาก www.buriramguide.com |
ธรรมหมวดหนึ่งที่แม่ชีเมี้ยน สอนให้เป็นสติเพื่อใช้ในการทานสมุนไพร ธรรมหมวดนี้ หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า เมื่อเราเชื่อในเหตุผลของพระพุทธเจ้าว่า "โรคเกิดจากกรรม" สิ่งนั้นมีความหมายที่แฝงไว้ ทำให้เราเชื่อมั่นได้ว่า ถ้าเราสามารถยืนหยัดทานสมุนไพร เราต้องหายโรคได้อย่างแน่นอน
ก็ด้วยเหตุ ที่มีที่มาจากกรรม ย่อมอุปมาดั่งเราเป็นหนี้ เมื่อเราทำใช้ จึงต้องมีวันหมด และเมื่อหมด ก็คือ ไม่มีกรรม แล้วโรคจะอยู่กับเราได้อย่างไร
ก็ด้วยเหตุ เราทุกคนมีพรหมลิขิต มีอายุขัยของตนเองอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าเรายอมทุกข์วันนี้ เพื่อใช้กรรม ความเจ็บ และทรมานที่เกิด นั่นก็ต้องเป็นการใช้หนี้ ความลำบากในการทานสมุนไพร อบตัว หรือ ทำกิจกรรม ก็ต้องเป็นการใช้กรรมเช่นกัน เพราะเป็นทุกข์เกิดจากบัญญัติของพระวินัย ของพระพุทธเจ้า นั่นก็ทำให้เราเห็นได้ว่า เมื่อเรายอมทุกข์ในวันนีั กับทั้งสองสิ่งนี้ ไม่ว่าความเจ็บปวด ทรมาน จากโรค หรือ จากวินัย ย่อมทำให้กรรมเราลดน้อยถอยลง จนหมดได้ในวันหนึ่ง อย่างแน่นอน
ผลของการเรียนรู้ ทำให้เรารู้ว่า โรคฆ่าเราไม่ได้อย่างแน่นอน ทำได้เพียงแค่ทรมาน ขอเพียงพรหมลิขิตยังมี ยังไงก็ไม่ตาย ก็ด้วยความไม่รู้ว่าเราจะไม่ตายนี่เอง ทำให้เราเชื่อในคำขู่ของผู้อื่น ที่หวังอาศัยพรหมลิขิตเราหากิน จนเรากลัวต้องไปทำอย่างที่เขาบอก ไม่ว่า หมอ พ่อมด หมอผี เข้าทรง หรือ ยาผีบอก เมื่อเราหมดกรรม ความทรมานนั้นหายไป คนเหล่านั้นก็สมอ้างว่าเป็นเพราะฝีมือเขา ทั้งที่จริงแล้ว เป็นเพราะพรหมลิขิตของเราต่างหาก
ศาสนาจึงต้องการคนจริง ยอมรับกรรมที่เกิด ว่าเป็นของเรา เราเป็นผู้ทำ เราจึงต้องเป็นผู้รับ แต่ก็ตั้งมั้นในสติ "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า" เพราะเมื่อใช้มันต้องมีวันหมด วันที่เราหายจากโรคจึงต้องมีอย่างแน่นอน
หากแต่พวกเราปฏิเสธ กรรมเล็ก กรรมน้อย ปวดหัวกินพารา ไม่ยอมให้ทรมานแม้แต่สักน้อย เมื่อกรรมถูกกั้นก็เหมื่อนน้ำเขื่อน วันใดเขื่อนแตก ก็ยากจะรับไหวเสียแล้ว แทนที่จะตายด้วยพรหมลิขิต กลายเป็น อุบัติเหตุ อันเนื่องจากการกระทำที่เสมือนฆ่าตัวเองตาย นั่นเอง
แลกรรมเกิดจากการทำต่อคน แล้วเวลาหาบุญ ไหนจึงเลยคน กลายเป็นวัตถุ หรือทำตนแบบฤาษี นั่งวิปัสสนา กรรมฐาน ไม่เอาใคร โน่นเลย แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า คนเหล่านั้น ดู แล้วเคร่งกว่าพระโคดมเสียอีก แต่ไม่มีใครได้นิพพานด้วยวิธีนี้เลย ดังนั้นถ้าจะสู้กับกรรม ท่านจึงสอนว่า "อย่าเลยมนุษย์"
ก็พุทธประวัติ พระพุทธเจ้าหาบุญเพื่อหนีกรรม ไปอยู่โลกนิพพาน ยังต้องเอาธรรมของท่านไปสอนสาวก แล้วเกิดบุญเป็นพาหนะไปนิพพาน ทำไม เราจึงเชื่อคนที่ให้เรา หลงวัตถุ แล้วเลยคนทุกข์
เราจึงเชื่อแล้วที่ท่านตรัส มนุษย์ ไม่ใช่ดูที่กายเป็นคน เขาดูกันที่วิญญาณ ก็แล้วคนเขาทุกข์จากมหันตภัย ก็สาหัสแล้ว ผู้ที่ยังเอารัดเอาเปรียบ ขายของแพงๆ เพิ่มเติมทุกข์ให้คนเหล่านั้นอีก เราไม่รู้จะเรียกอะไร และก็คงเถียงไม่ได้ว่า ยุคสมัยนี้ คนไทย ชอบแต่พระพุทธ แต่ไม่เอาพระธรรม เราจึงเห็นภาพอย่างนี้ และคนทั่วไปก็ไม่รู้สึกผิด แทนที่จะหาบุญ ขายให้ถูกลง กับไปสร้างกรรม ขายแพงหูฉี่ จะบอกว่าเราเดินตามพระพุทธเจ้าได้อย่างไร เพราะการกระทำมันฟ้อง นี่แหละผลของการขาดศาสนา กรรมจึงเฟื่องฟู และเมื่อผลกรรมมาถึง จะมีที่ตรงไหนให้หลบลี้
ท่านจึงสอนให้จำไว้ว่า "กรรมทำให้เราเป็นทุกข์์" พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ยังกลัวกรรม แล้วเราท่านหล่ะ กำลังทำสิ่งที่ท่านเตือนไว้หรือเปล่า "อยู่ใต้ฟ้าอย่าท้ากรรม" ทำโดยไม่สะท้าน แล้ววันที่ผลกรรมย้อนมาเป็นภัย เป็นโรค จะร้องเรียกสักฉันใด ก็ไม่มีใครช่วยได้ เพราะเราไม่มีธรรมของพระพุทธเจ้าเสียแล้ว สิ่งที่ยึดถือ ก็เป็นลม ไม่มีตัวตนจริง แก้กรรมไม่ได้ ใครที่อวดวิเศษ รักษาโรคได้ จึงเรียกว่า ท้าทายกรรม ผลที่ได้รับคือ "หมองูตายเพราะงู" คนเหล่านั้นจึงเป็นโรคตายกันทุกคน
ก็ถ้ากรรมเขาไม่แน่จริง เขาคงปกครองมนุษย์ทั้งโลก ให้คุณให้โทษอย่างไม่มีลำเอียง และข้อผิดพลาด อย่างแน่นอน
ยอมรับ และ ยอมใช้ ดีกว่าไหม ลองตรองดู
วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554
คุณเอนกอนันต์ จากลาภของพระพุทธเจ้า
เมื่อเราไม่รู้เรื่องศาสนา เราจะไม่เห็นค่าของคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ที่ได้ถ่ายทอดคำสอนของพระพุทธเจ้ามาให้ เราจึงไม่เกิด" มานะ " เพื่อให้ได้ ลาภอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า อันเนื่องมาจากความไม่มีโรค
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้ยกคำสอนมาให้เห็นว่า เมื่อเราเชื่อในคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" ดังนั้น เมื่อเรามีกรรม และต้องรับโทษของกรรมนั้น กรรมจึงบันดาลให้เกิดโรค ท่านจึงกล่าวว่า "โรคเป็นตัวแทนของกรรม" มีหน้าที่บีบเค้นวิญญาณ ให้ได้รับทุกข์จากกรรมที่ทำมา
สิ่งที่ท่านย้ำเสมอ คือ วิญญาณ จะทุกข์สุขไม่ได้เลย ถ้าไม่มีสังขาร นั่นเป็นเหตุผลที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ทำไมเมื่อเราตายแล้วจึงต้องเกิด เพราะเรามีกรรมที่มารอเสวยอยู่นั่นเอง ไม่ว่า กรรมดี หรือ กรรมชั่ว ที่เราทำ สิ่งที่เราทำแล้ว เป็นตัวกระทำสมบูรณ์ จะกลายมาเป็นพรหมลิขิต ของเราในชาติหน้านั่นเอง
ความจำเป็นที่ต้องคิดคือ ก็แล้วสังขารที่เราใช้ เรายืมเขามาในชาตินี้ เมื่อตายไปแล้ว เราต้องคืนเขาไป ท่านจึงกล่าวว่า แม่ชีเมี้ยนย้ำนักหนาว่า พระพุทธเจ้าท่านเล็งเห็นแล้วว่า ในขณะที่เรากำลังจะตาย และ ไปหาร่างใหม่ให้วิญญาณอยู่ ถ้าขณะนั้น วิญญาณถูกทรมานจากโรคภัย ทำให้ขวัญหนีดีฝ่อ ย่อมลนลานไปด้วยความกลัว เห็นช่องไหนก็รีบมุดเข้าไป เพื่อหลีกหนีความทรมานอันนั้น ลืมตามาอีกที เราก็ไม่อยู่ในท้องสัตว์เสียแล้ว
ในทางตรงข้าม ถ้าขณะนั้น เรามีความรู้สึกเหมือนเดินเล่น เข้าไปดูบ้านนั้นที บ้านโน้นที แล้วเห็นว่า บ้านนี้น่าอยู่ ก็เข้าไป ลืมตามาอีกที ก็เป็นมนุษย์ นั่นจึงเป็นที่มาว่า เมื่อคนใกล้ตาย จึงพยายามให้นึกถึงพระ เพื่อให้มีสติ ไม่แตกตี่น แล้วไปอย่างสงบ ได้อยู่ในบ้านที่ดี ตามที่ชอบ
ก็แล้วบ้านดีคืออะไร ก็คือบ้านที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์อีกนั่นเอง พระพุทธเจ้า จึงเรียก ลาภอันเกิดจากความไม่มีโรค นี้ว่า "มนุษย์สมบัติ"
ความเป็นมนุษย์ มีความหมายยิ่งไปกว่านั้นอีก เพราะอะไรหรือ เพราะเมื่อมีพระพุทธเจ้า กายสัตว์ก็ได้แต่แหงนคอ และรำพึงว่า "เมื่อไรเราจะได้ไปกับเขามั่ง" ส่วนกายมนุษย์ สามารถไปรับธรรมมาปฏิบัติ และได้มรรคผลนิพพาน
จากคำสอนนี้ เราจะเห็นคุณค่าอันมหาศาล ของมนุษย์สมบัติ แม้จะเป็นยุคที่ยังไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ด้วยนิสัยที่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ก็จะทำให้เราไม่มีกรรม ต้องทรมานจากโรคภัย มาบีบเค้นจนตาย ครั้นเมื่่อตายก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ทุกภพ ทุกชาติ เพื่อรอพระพุทธเจ้านั่นเอง
แลความหมายของความไม่มีโรค ไม่ใช่ว่าไม่ตาย ดังนั้น ผู้ที่มาทานสมุนไพร แล้วเสียชีวิต ก็ไม่ใช่ผู้ไม่ประสพผลทุกท่าน เพราะผลสำเร็จของการปฏิบัติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่แม่ชีเมี้ยนถ่ายทอดมา วัดกันที่ตอนตาย ท่านมีสติ ไม่มีสภาวะบีบเค้นแก่วิญญาณ จากโรคภัยต่างหาก
หลวงพ่อนิพนธ์มักเล่าถึงคนไข้ท่านหนึ่งให้ฟัง เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ หลานสาวของท่่านสังฆราช อายุยังไม่มาก เป็นมะเร็ง ผ่านการรักษาจากแผนปัจจุบันมาอย่างโชกโชน จนร่างกายไม่ไหว เมื่อได้ทราบข่าว ก็ได้มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ จากสภาพที่เขาเป็น เขาเองก็ทราบว่าอาการหนักสาหัส จึงเรียนหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ไม่รอดไม่เป็นไร เขาทำใจรับได้แล้ว สิ่งที่ขอเพียงอย่างเดียวคือ ความปวดทรมาน ทีบีบเค้นอยู่ทุกขณะจิต ขอให้บรรเทาหรือหมดไป จะได้หรือไม่
หลวงพ่อนิพนธ์ตอบว่า คำขอของเขา ไม่เกินความจริง และเป็นไปได้ จึงได้จัดสมุนไพรให้ เขาได้จดจำคำสอนทุกสิ่งอย่างของท่านไปปฏิบัติ เพียงแค่สองสัปดาห์ อาการปวดเขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง และในสัปดาห์สุดท้าย เมื่อพี่เขามารับสมุนไพร ท่านได้กำชับว่าให้ทานแบบไหน อย่างไร เมื่อเขาได้รับ ก็ปฏิบัติตาม และโทรมาเรียนหลวงพ่อนิพนธ์ ว่าตอนนี้เขาไม่มีอาการปวดใดๆ แล้ว และได้ทานสมุนไพร และปฏิบัติตามที่ได้สอนไปเรียบร้อยแล้ว จึงโทรมาเรียนเพื่อขอลาไป ในช่วงบ่ายวันนั้นเอง เขาก็นอนหลับและเสียชีวิตไป
หลวงพ่อนิพนธ์ได้ชี้ให้เห็นว่า นี่ก็เป็นตัวอย่างของผู้สำเร็จ ในการเสียชีวิต โดยไม่มีโรค ตามแนวของพระพุทธเจ้า เราจึงอยากจะบอกกล่าวกับผู้ที่ทานสมุนไพรว่า ความรู้ที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน มีความจำเป็นอย่างยิ่ง จะก่อให้เกิดมานะอันมหาศาล และเห็นค่าในสิ่งที่ทำ และเมื่อเห็นความเมตตาของ พระพุทธเจ้า แม่ชีเมี้ยน และหลวงพ่อนิพนธ์ ที่ได้นำคำสอน และสมุนไพรมาให้แล้ว ก็น่าจะเกิดประกายของความกตัญญู เพื่อที่จะทำให้ตัวเราเองประสพผล เป็นการถวายคืนกลับไป เป็นตัวอย่างให้คนเดินตาม อย่าให้ได้ตราบาปว่า "มาเพื่อกินล้าง กินผลาญ" ซึ่งความอกตัญญูอันนี้ จะเป็นเหตุให้เราหาความเจริญไม่ได้
ลาภอันนี้ ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวตน แต่จะเป็นพงศาวดารของวีรชน คนของพระพุทธศาสนา ที่จะทำให้คนเห็น อุปมาเจดีย์อันใหญ่ยิ่ง ทีมีพระพุทธเจ้าอยู่บนยอด ท่านก็คือ อิฐก้อนหนึ่ง ที่ทำให้คนเห็นเป็นเจดีย์ ยืนยง สง่างาม เป็นตำนานเล่าขาน ในลาภอันประเสริฐ ของพระพุทธเจ้า ว่าเป็นจริง ทำได้จริง การเชื่อพระพุทธเจ้า ปลอดภัย และดีกว่าทุกสิ่งในโลกนี้อย่างแน่นอน
แม่ชีเมี้ยนยืนยัน หลวงพ่อนิพนธ์ยืนยัน ในอีกไม่นาน ต้องมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ มาสืบต่อจากยุค พระโคดม อย่างแน่นอน ก็แล้วเราจะเลือกภพหน้าของเราในสภาพไหน เมื่อท่านมาอุบัติ ........ ยิ่งคิด ยิ่งเห็น ว่า " ความไม่มีโรค" สำคัญไฉน สมุนไพร และ ธรรมของพระพุทธเจ้า มีค่ามากมายมหาศาลเพียงไร
วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ทานสมุนไพรให้เป็น
สมุนไพรเป็นของธรรมชาติ มาจากต้นไม้ ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นั่นแหละคือธรรมชาติของคนที่มาทานสมุนไพร เปรียบเช่นต้นไม้ ย่อมมีส่วนที่เป็นเปลือก เป็นกระพี้ และเป็นแก่นของต้นไม้
ดังนั้น ท่านจึงแบ่งกลุ่มผู้ทานสมุนไพร ออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรก คือ พวกเปลือก เป็นคนที่มาทานสมุนไพรได้ไม่นาน ก็เบื่อ อาจจะมีสาเหตุหลายประการ อาทิเช่น ทานไม่ได้ เบื่อการรอคอย เบื่อฟัง และที่สำคัญคือ รอคอยผลไม่ไหว ไม่ทันใจ เฉกเช่นยาแผนปัจจุบัน ที่กินปุ๊บหายปั๊บ คนจำพวกนี้เรียกง่ายๆ คือ มาทดลองกิน เมื่อไม่ได้ดั่งใจ หรือไม่สมใจ ที่ตั้งไว้ ก็เลิกไป ท่านมักบอกว่า แม้นเป็นการเสียเปล่า แต่ก็เป็นการให้โอกาสแก่คนเหล่านั้น ดังนั้นการสูญเปล่านี้ต้องทำใจ
กลุ่มที่สอง คือพวกกระพี้ คนกลุ่มนี้ คือกลุ่มคนที่ทานสมุนไพรแล้วอาจจะชอบ หรือพอใจ สามารถยืนระยะได้ แต่เหตุของการไม่ประสบผลของคนกลุ่มนี้ คือการขาดการเรียนรู้ ทำให้เมื่อถึงระยะลงแดง หรือมีอาการที่เกิดจากการคุ้ยอาการของสมุนไพร ทำให้เกิดลังเล และเมื่อได้ฟังคำวินิจฉัยจากหมอ หรือคนรอบข้าง ก็เกิดหวั่นไหว อาจจะไม่ใช่ตัวคนทานเอง แต่เป็นคนรอบข้าง ที่มีบทบาทในการตัดสินใจ ทำให้ความกลัวอันนี้ พาตัวเองกลับไปในมือของหมอแผนปัจจุบัน หรืออาจจะได้ยินสรรพคุณของยาจากหมอว่า รักษาได้ ก็ทิ้งสมุนไพรที่แม้จะทำให้สภาพดีขึ้น กลับไปลองยาเคมีดั่งเดิม คนประเภทนี้ก็พบมาก
ตัวอย่างที่อยากเล่า คือ เจ้าของห้างดัง ที่ก่อนมาทานสมุนไพร นอนอยู่ในห้องไอซียู มีคนแนะนำลูกชายให้ลองนำสมุนไพรไปกรอกตามสายเพราะทานไม่ได้ จนฟื้นขึ้นมา และมาพักฟื้นที่มูลนิธิอยู่สองสามเดือน กลับมาขับรถได้ อยู่มาจนหกเดือน อยู่ในสภาพที่ช่วยตัวเองได้สบาย ครั้นเพื่อนเป็นหมอกลับจากเยอรมันมาพบ และบอกว่า มียาคีโมตัวใหม่ ราคาเข็มละแสน คอร์สนี้ใช้ 30 เข็ม อาจารย์หมอรับรองว่าหายแน่นอน จึงขออนุญาตหลวงพ่อนิพนธ์ ลาไปหนึ่งเดือนเพื่อเข้าคอร์ส ผลที่ปรากฎ ท่านนี้ก็เสียชีวิตไป ในเข็มสุดท้ายที่ฉีด เพราะทนคีโมทำลายไม่ไหว ตัวอย่างนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลัง
อีกตัวอย่างที่อยากเล่า ถ้าท่านไปมูลนิธิไทยกรุณา จะเห็นผู้พันอาวุโสท่านหนึ่ง ภรรยาเป็นครู ตัวท่านเป็นโรคหัวใจรุนแรง เมื่อเริ่มมาทาน หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเล่นๆ ว่า เมื่อลงแดงตัวจะเขียว ลมหายใจโรยริน เหมือนจะตาย ทั้งคู่ก็รับทราบ จวบจนเวลาผ่านไปเป็นปีในการทานสมุนไพร วันลงแดงก็มาถึง ท่านผู้พันมีอาการดังเช่นท่านกล่าว ภรรยาเห็นก็ตกใจ ด้วยความรัก และกลัวสามีตาย จึงเรียกรถพยาบาลมา เพื่อรับท่านผู้พันไปโรงพยาบาล แต่คำที่ออกจากปากท่านผุู้พัน ยืนยันหนักแน่น คือ ห้ามภรรยาพาเขาไปโรงพยาบาลเด็ดขาด ตายเป็นตาย หลังจากนั้นผ่านไปเป็นหลายชั่วโมง อาการของท่านก็เริ่มฟื้นกลับมาเป็นปกติ
คนกลุ่มที่สาม ที่ท่านเรียกว่าเป็นแก่นของต้นไม้ คือกลุ่มคนที่ประสพผลจากการทานสมุนไพร คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มักเป็นคนประเภทหลังพิงฝา คือ หมอไม่รับรักษาแล้ว ทำให้มีมานะในการทาน เพื่อรักษาชีวิตรอด ทำทุกอย่างที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน พยายามเรียนรู้ และเดินตาม ดังนั้น คนกลุ่มนี้จึงมีเอกลักษณ์ คือ ใช้สมุนไพรล้างโรค และทำกิจกรรมที่เป็นบุญล้างกรรม หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า บุคคลเหล่านี้ เมื่อทำตามคำตรัสของพระภูมิ เขาจึงได้พบปาฏิหาริย์ของธรรมชาติ เมื่อมาเรียนรู้วิธีที่ถูก ได้รับสมุนไพรที่ถูก และทำถูก ผลถูกจึงเกิด สิ่งที่ใครว่าเป็นไปไม่ได้ ก็เป็นไปได้
เคล็ดที่สำคัญ ที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน เพื่อใช้ในการสร้าง ศรัทธา และ ความมีมานะอดทน ที่จะทานสมุนไพร และทำความดี นั่นคือ การสร้างสติให้อยู่ในธรรมหมวดกตัญญู สิ่งนี้มีอยู่เป็นทุนเดิมของคนไทยอยู่แล้ว ถ้าเราสามารถสร้างสติขึ้นมาว่า เราควรจะกตัญญูต่อแม่ชีเมี้ยน กตัญญูต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กตัญญูต่อสมุนไพร กตัญญูต่อหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วใช้สตินี้ เพื่อสร้างความศรัท่ธา และมานะอดทน เพื่อต่อสู้กับอาการที่เกิด เพื่อให้สิ่งที่ท่านสอนและทำให้ไม่เสียเหล่า จิตกตัญญูอันนี้ จะทำให้เราประสพผล ได้อย่างแน่นอน
หากขาดจากจิตกตัญญูแล้วไซร้ การทานสมุนไพรก็ยากที่จะประสพผล หรือแม้ประสพผล ก็มักจะเป็นไปในรูปหนีเสือปะจรเข้
อยากยกตัวอย่างที่เราเห็นให้พิจารณา ในอดีตมีพระรูปหนึ่งซึ่งติดเชื้อเอดส์ ชนิดรุนแรง คือมีพิษทำให้ร่างกายเหมือนคนถูกไฟไหม้ทั้งตัว ท่านเรียกพระรูปนี้ว่า พระจัน เพราะท่านมาจากจังหวัดจันทบุรีนั่นเอง ท่านบอกพระรูปนี้ว่า เราจะรักษาท่านแต่ขอให้ท่านมาบวชในหลักของแม่ชีเมี้ยนตอบแทนเป็นเวลา 3 ปี พระจันรับคำ ท่านจึงบอกว่า เราจะทำสมุนไพรสูตรพิเศษให้ท่าน เป็นสูตรที่แม่ชีเมี้ยนตรัสว่าใช้กับโรคเอดส์โดยเฉพาะ เพียงแค่สิบห้าวัน ท่านจัน กลับมาปกติ ไม่มีวี่แววของเนื้อไหม้อีกเลย ทั้งยังมีกำลัง สามารถออกธุดงค์ได้พร้อมคณะ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เมื่อท่านจันคิดว่า อาการของท่านกลับเป็นปกติ จึงคิดเบี้ยว หลวงพ่อนิพนธ์ท่านก็ไม่ว่าอะไร ท่านจันจึงลาไปจำพรรษาที่วัดแถวบ้านท่าน ผ่านไปหกเดือน มารดาของท่านจัน มาแจ้งหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ท่านจันเสียแล้ว หมอวินิจฉัยไม่พบเชื้อเอดส์ แต่เสียชีวิตด้วยไตวาย น้ำท่วมปอด เราหวังว่า อุทาหรณ์นี้คงให้อะไรบ้างไม่มากก็น้อย เราจึงเชื่อที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอๆ ว่า แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า สมุนไพร สูตรของพระภูมี มีวิญญาณ ไม่ต้องกลัวว่า ใครจะมาหลอกทาน เมื่อดีแล้ว จะกลับไปทำความชั่วเหมือนเดิม คงเป็นไปไม่ได้ เพราะสมุนไพรของท่าน ส่งเสริมคนดี
คำเดียวสั้นๆ ที่จะทำให้เรารอด จึงไม่มีอื่นใด นอกจาก "ความกตัญญู" และผลที่เป็นรูปธรรม ของแก่น ย่อมต้อง "เป็นคนดี" สนองคุณ แม่ชีเมี้ยน สนองคุณพระพุทธเจ้า สนองคุณสมุนไพร สนองคุณหลวงพ่อนิพนธ์ สนองคุณแผ่นดิน นั่นเอง แม่ชีเมี้ยนจึงเรียกทางสายนี้ว่าเปรียบเหมือน "ไม้ไผ่ลำเดียว" ที่จะใช้เดินหนีกรรม
ท่านจึงกล่าวว่า สิ่งนี้เปรียบเหมือนชนักปักหลัง สำหรับผู้ทานสมุนไพร วันใดที่ท่านหวน นำนิสัยเดิมมาใช้ กรรมจะหวนคืนมาหาท่าน แม้ไม่ใช่เสือตัวเดิม แต่ก็เป็นจรเข้ ที่มาพรากชีวิตท่านได้เช่นเดียวกัน สมุนไพร จึงเหมาะกับคนที่ซื่อสัตย์ ไม่คดในข้อ หรือ ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก นั่นเอง ทำผิด เพราะไม่รู้ ยังพออภัย แต่เมื่อเรียนรู้แล้วยังทำอีก คงไม่มีโอกาสครั้งที่สองเป็นแน่แท้ เราจึงไม่เคยเห็นคนที่พ้นโรคตายครั้งหนึ่งแล้ว จะมาหายจากโรคตายอีกครั้งด้วยสมุนไพร และเราก็ยังไม่เคยเห็นโรคร้ายใด ที่ธรรมชาติรักษาไม่ได้เช่นกัน
วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554
คนกล้าตัวจริง
หลังจากออกจากถ้ำกระบอกมาเมื่อครั้งปี 2510 การหลบลี้หนีภัย ไปอยู่ยังลาว และเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ จนในปี 2530 หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ทำการเปิดตำราของแม่ชีเมี้ยนขึ้นอีกครั้ง ที่ ต.โคกตูม จ.ลพบุรี ในที่ดินของพ่อ ที่ได้รับแบ่งมาจากพี่น้อง กลายเป็นสำนักสงฆ์เล็กๆ ที่เปิดรับคนไข้หลัก คือยาเสพติด แต่ก็มีคนไข้อื่นไม่น้อย
ปัญหาก็คือ ท่านต้องการพระที่จะมาช่วยงาน ดำเนินกิจการตามรูปรอยดั่งเดิมของถ้ำกระบอกในอดีต ดังนั้น คนไข้รายใดโดยเฉพาะผู้ชาย ที่เป็นคนไข้ประเภทหมอไม่รับ ท่านจึงมักจะรับไว้ โดยขอให้บวชเป็นพระ รวมถึงผู้ติดยาเสพติดที่เลิกได้แล้ว ให้บวชมาช่วยกิจกรรม ซึ่งก็มีคนที่บวชเข้ามาไม่น้อย
ปัญหาที่ประสพก็คือ คนไข้ คนพิการเป็นโปลิโอ คนตาบอด คนเสียสติ เหล่านั้น ที่ท่านรับเข้ามา เมื่อมีความต้องการบวช บางคนพ่อแม่ขออนุญาตไปทำการบวชเอง ผลที่ปรากฎก็คือ ไม่มีวัดใดทำการบวชให้เลย เพราะเจ้าอาวาสเหล่านั้น กล่าวว่า ไม่ถูกต้องตามกฎ ไม่สามารถบวชให้ได้
แต่อยุธยาไม่สิ้นคนดี วัดหนึ่งในอำเภอมหาราช จ.อยุธยา มีพระเจ้าอาวาสท่านหนึ่ง ซึ่งเลื่อมใสในหลักปฏิบัติของแม่ชีเมี้ยนเป็นทุนเดิม เมื่อทราบเรื่อง ก็ขอเป็นผู้บวชให้ ถึงแม้ท่านเองจะปฏิบัติไม่ได้ แต่ก็อยากสนับสนุน และเชื่่อมั่นในแม่ชีเมี้ยน ดังนั้น คนที่หลวงพ่อนิพนธ์ ส่งมาให้บวช ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร มีสภาพอย่างไร ท่านก็จัดการบวชให้ พร้อมกับออกหนังสือรับรอง นับตั้งแต่ปี 2530 มาจนบัดนี้
ผลจากการทำถูก ย่อมได้ผลตามปรารถนา เราจึงมีคนตาบอด กลับมาเห็น เราจึงมี คนเป็นโปลิโอ กลับมามีเนื้อน่อง ไปเป็นหัวหน้ากุ๊ก เราจึงมีคนเสียสติ กลับไปมีชีวิตปกติ มีลูกสาม เราจึงมีคนติดเชื้อเอดส์ กลับมาแต่งงาน มีลูก ก็ด้วยโอกาสที่เจ้าอาวาสท่านนี้ ได้เป็นผู้สนับสนุน
เจ้าอาวาสท่านนี้ มีนาม "ปัญญาทีโป" แห่งวัดสุวรรณเจดีย์ ซึ่งในปัจจุบัน วัดกำลังถูกน้ำท่วมอยู่ ด้วยความผูกพันกันมานาน หลวงพ่อนิพนธ์จึงได้รวบรวมกำลัง เพื่อไปช่วยเหลือท่าน หลังจากน้ำลด
เราจึงแลเห็นได้ชัดว่า คนที่พูดให้ทำความดี มีมากมาย แต่คนที่กล้าทำความดี อันเป็นการฝืนกฎที่กำหนดไว้นั้น หาได้ยากยิ่ง หากไม่มีท่านแล้วไซร้ การบวชพระเพื่อมาปฏิบัติในหลักของแม่ชีเมี้ยน พอได้ยินว่า ฉันมือเดียว เงินทองไม่รับ รถเรือไม่ขึ้น ก็ถอยหนีกันหมด ยิ่งผู้มาบวชอยู่ในสภาพที่ป่วยด้วยแล้ว ยิ่งเป็นข้ออ้างที่จะไม่รับ ท่านจึงเป็นคนกล้า ที่หายากในแผ่นดินนี้คนหนึ่งในความคิดเรา เพราะถ้าไม่มีท่าน คนไข้ก็ไม่มีโอกาสทำความดีในพระพุทธศาสนา ไม่มีโอกาสแสดงให้เห็นว่า ถ้าทำตามบัญญัติของพระภูมี เราก็จะได้ลาภความไม่มีโรค เป็นรางวัลอย่างแน่นอน
ถ้าใครสักคน ต้องการหาพระดีๆ ที่จะถวายของแล้วสบายใจว่า ท่านไม่แปรธาตุไปในทางที่วิบัติ เราขอแนะนำพระท่านนี้ ยิ่งตอนนี้ วัดท่านกำลังน้ำท่วม ยิ่งอยากให้ท่านส่งเสริม เพราะในอนาคต ท่านจะเป็นกำลังหลัก ในการบวชพระในหลักของแม่ชีเมี้ยน อีกเป็นจำนวนมาก เราก็จะมีพระดีๆ เพิ่มขึ้นในแผ่นดิน เป็นพระที่ถวายของแล้ว แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ไปรอรับบุญได้ที่หัวกระไดบ้านเลย เพราะบุญมันไปรออยู่แล้ว
เป็นอีกหนึ่งท่าน ที่เราขอคาราวะด้วยใจ "ท่านปัญญาทีโป แห่งวัดสุวรรณเจดีย์ อ.มหาราช จ.อยุธยา" ท่านเป็นคนกล้าแห่งกรุงศรีตัวจริงเสียงจริง
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554
สามมหาอำนาจของโลก
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมาสอน เราจึงค้นหาคำตอบ ที่ท่านมักกล่าวท้าทายอยู่เสมอว่า เพราะเหตุใดแม่ชีเมี้ยนจึงยืนยันว่า โลกนี้ไม่มียาที่มนุษย์คิดค้นจะสามารถรักษาโรค ไม่มีหมอใดที่รักษาโรคได้ ไม่มีพิธีกรรม หรือ เจ้าพ่อเจ้าแม่ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์สร้าง หรือพูดง่ายๆ ว่า คิดเอาเองว่าศักดิ์สิทธิ์ จะทำให้โรคที่มาคร่าชีวิตเรา หายได้ ไม่ว่า มนุษย์จะพึ่งเทคโนโลยีที่ว่าล้ำสมัยสักฉันใด หรือ พึ่งพิธีกรรม หรือ สิ่งอื่นใดที่คิด หรือนับถือกันเองว่าศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนเวลาตายได้แม้แต่เสี้ยววินาที ก็เพราะสิ่งเหล่านั้น ไม่มีอำนาจแก้ไข หรือ ลบล้าง พรหมลิขิตของเรานั่นเอง ก็แล้วอำนาจอะไรที่มีผลต่อพรหมลิขิตของเราท่าน
อำนาจแรก ที่เราสัมผัสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน คือ อำนาจกรรม พระพุทธเจ้าตรัสว่า "มนุษย์ย่อมเป็นไปตามกรรม" ดังนั้น กรรมที่เรามา นั่นคือพรหมลิขิต ที่เขียนมาแต่ชาติปางก่อน ระบุเวลาเกิด เวลาตาย สิ่งใด หรือ พิธีกรรมใด ก็ลบล้างไม่ได้ อำนาจนี้ มีกิเลส หรือ ที่เรียกกันว่า ความอยาก ทำให้เกิดซึ่่งอำนาจ สิ่งที่กระตุ้นให้เราทำ ก็คือ ความสุขที่จะได้รับเมื่อได้ทำ ผลที่เห็นประจักษ์ คือ "ให้สุขวันนี้ ให้ทุกข์ในวันหน้า" ทุกคนจึงชอบ และยากจะปฏิเสธที่จะทำ และมักได้รับความนิยมส่งเสริมให้กระทำ
อำนาจที่สอง คืออำนาจธรรม เป็นอำนาจที่เป็นเครื่องมือ ที่ใช้ต่อกร กับอำนาจกรรม เป็นเครื่องมือของพระพุทธเจ้า เมื่อท่านใช้อำนาจนี้ จนทำให้ตัวเองสำเร็จ ก็เกิดเป็นช่องให้สาวกได้เดินตาม ด้วยเหตุที่เป็นคู่ต่อสู้กัน แต่ใช้เส้นทางเดียวกันในการสร้าง ดังนั้น เอกลัษณ์จึงมีลักษณะย้อนทางกับ อำนาจกรรม เห็นได้ชัดว่า ต้องละความอยาก และมักจะให้ผลในทำนอง "ทุกข์วันนี้ เพื่อสุขวันหน้า" ยิ่งเห็นได้ชัดเลยว่า มักไม่ได้รับความนิยม หรือส่งเสริมให้กระทำสักเท่าใด แม้อาจจะมีคนกล่าวว่า มีคนนับถือมากมาย แต่ก็เป็นในลักษณะชอบแต่ไม่ทำ ดูได้จาก ในยุคของพระโคดม แม้จะเป็นพระพุทธเจ้าที่เพรียบพร้อม กว่าในยุคของ พระกุสันโธ พระโคนาคม หรือ พระกัสปะ ก็ยังมีสาวกเพียงแค่ แปดหมื่นกว่าองค์เท่านั้น ทั้งที่อินเดียในสมัยนั้น มีคนเป็นร้อยล้าน เมื่อเทียบเปอร์เซ็นต์แล้ว จะเห็นว่าเป็นเศษเสี้ยว ยิ่งถ้านับคนทั้งโลก ก็ยิ่งเป็นจำนวนน้อยกว่าน้อย 0.000001 เลยก็ว่าได้
แต่อำนาจทั้งสอง ก็ต้องขึ้นกับอำนาจที่สาม คือ อำนาจของวิญญาณ ที่จะเป็นตัวตัดสินว่า จะให้หนึ่งในสองอำนาจใดมามีบทบาท บางคนไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่า อำนาจนี้มีลักษณะเป็นอย่างไร ท่านให้อรรถาธิบาย ก็ลองดูคนเป็นกับคนตายซิ คนเป็นคือคนที่มีอำนาจของวิญญาณอยู่ แม้แต่ลมเบาๆ หรือ มดไต่ ก็รู้สึกได้ สามารถบังคับทุกเซลล์ทุกอณูของร่างกายได้ ละเอียดถูกต้อง แม่นยำกว่าคอมพิวเตอร์ ที่มนุษย์ปลาบปลื้มว่าสุดยอด แต่ยามใดที่ไม่มีวิญญาณ ทั้งหมดของร่างกายก็เหมือนท่อนไม้ ดังนั้น สิ่งที่แสดงความเป็นสัตว์หรือมนุษย์ ก็คือวิญญาณ ใช่รูปร่างภายนอก เราจึงมักได้ยินคำพูด มนุษย์ใจสัตว์ เพราะเหตุนี้เอง พระภูมีสอนว่า สุขทุกข์ภายนอก เป็นของหลอกลวง สุขทุกข์ที่แท้จริงเขาวัดกันที่วิญญาณนั่นเอง โรคที่มารุมเร้า บีบเค้นอวัยวะ ก็เพื่อให้วิญญาณทุกข์ หิววิญญาณก็ทุกข์ มีข้าวกินอิ่ม วิญญาณก็สุข แลด้วยอำนาจของวิญญาณนี้เอง ที่เป็นตัวเปิดประตูให้อำนาจใดอำนาจหนึ่งในสองอำนาจ ที่เข้ามามีบทบาทกับตัวเอง ขึ้นอยู่ความรู้ ความเชื่อ ศรัทธา ที่ตนมี ถ้าเชื่อกิเลสที่เรามี อำนาจกรรม ก็จะเป็นฝ่้ายบงการชีวิตเรา แต่ถ้าเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า เอาเหตุผลที่ท่านสอน อำนาจธรรม ก็จะมีบทบาทกับชีวิตเรา
เมื่อเราเชื่อกรรม ก็จะได้ กรรมลิขิต เมื่อเราเชื่อธรรม เราก็จะได้ ธรรมลิขิต เราเชื่อสิ่งใดก็จะเป็นไปตามนั้น พระภูมีจึงตรัสว่า "ใครทำอย่างไร ได้อย่างนั้น" ดังนั้น เราจึงได้คำตอบ ที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน นั่นคือ ในเมื่อโรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม ความคิดของมนุษย์ในโลก ที่ใช้อำนาจกรรมลิขิต จะหาวิธีที่จะมาแก้โรคย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะความคิดกรรมแก้กรรมไม่ได้นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีทางที่จะมียารักษาโรค หรือ พิธีกรรมใดๆ ช่วยเรารักษาโรคได้เลย หลวงพ่อนิพนธ์จึงพูดเสมอว่า แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ไม่ต้องกลัวใครเขาจะมาทำแข่งกับลูกหรอก เพราะเขาเหล่านั้นไม่ได้ใช้วิธีของพระพุทธเจ้า ไม่ได้นำเอาเหตุผลของพระพุทธเจ้ามาไตร่ตรอง แล้วเอาธรรมมาปฏิบัติ จนเป็นอำนาจ ให้เกิดผลในการรักษาโรคได้
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่หลวงพ่อนิพนธ์ท่านกล่าวว่า ทำไมคนในประเทศที่บอกว่า เป็นเมืองพุทธ มีรูปพระพุทธอยู่เต็มเมือง จึงไม่ประสพผล ก็เพราะไม่เข้าใจว่า พระพุทธเจ้าไม่มีพร ไม่ได้มีอำนาจ ที่ตัวท่าน ตัวท่านตรัสรู้ และมีเมตตามหาศาล แต่ไม่มีอำนาจ ทำให้ใครไม่ได้ อำนาจอยู่ที่พระธรรมต่างหาก ท่านจึงสอนธรรม ให้คนเอาไปปฏิบัติ จนเป็นอำนาจ ทำให้ได้สิ่งที่ปรารถนา ก็คนเหล่านั้น ไหว้ท่าน ขอพร จากท่าน แต่ไม่เอาธรรมของท่านไปปฏิบัติเลย ผลก็ปรากฎอย่างที่เห็น ไหว้ให้ตายก็ไม่ได้ ขอให้ตายก็ไม่ประสพผล ท่านจึงไม่ส่งเสริมให้สร้างวัตถุ ด้วยเหตุนี้เอง
ก็แล้วอำนาจวิญญาณของเราท่าน ควรทำอย่างไร จะกราบพระพุทธขอพรอีกอย่างนั้นหรือ ควรหรือไม่ แม่ชีเมี้ยนจึงบอกหลวงพ่อนิพนธ์ว่า มันเป็นความจำเป็น หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ถ้าท่านจะช่วยคนให้พ้นจากโรค ไม่ว่าจะหลอกล่อวิธีใด หรือจะบังคับ ต้องให้คนเหล่านั้น ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า จึงต้องมีการสวดมนต์ ต้องพูดให้คนไข้ฟัง ซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้เข้าใจเหตุผล ค่อยๆ เอาเหตุผล ของพระพุทธเจ้ามาให้เขา จนเมื่อเขาเข้าใจ และศรัทธา เอาธรรมของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ นั่นแล เขาจึงจะได้พร และได้พบลาภของศาสนา คือ "ความไม่มีโรค"
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอ การเรียนรู้ ทำให้เรารู้เขารู้เรา รู้ว่าโรคมีที่มาอย่างไร และต้องทำอย่างไรจึงจะชนะ ดังนั้น เมื่อเรียนรู้แล้ว คำตอบของผลการต่อสู้ ไม่ได้อยู่ที่แม่ชีเมี้ยน สมุนไพร ธรรมของพระพุทธเจ้า หรือตัวท่าน เพราะสิ่งเหล่านั้น เป็นเพียงตัวช่วย ผลแพ้ชนะ จึงขึ้นอยู่กับ วิญญาณของท่านเองต่างหาก ที่จะเป็นตัวตัดสิน ให้อำนาจใดมามีบทบาท วิญญาณท่านจึงมีอำนาจสูงสุดที่จะตัดสิน ผลแพ้ชนะนี้
วิญญาณที่เอาธรรมของพระพุทธเจ้ามามีบทบาท ผลสำเร็จ คือ นิพพาน หรือ ความไม่มีโรค คนรุ่นก่อนเขาทำให้ดูแล้ว วิญญาณที่ไม่เอาธรรมของพระพุทธเจ้า เอากิเลสมานำ ทำให้กรรมมีอำนาจ มีชูชก มีเทวทัต เป็นรุ่นพี่ ทำให้ดูแล้วเช่นกัน เราจึงเชื่อแล้วที่ท่านตรัส "ไม่มีใครทำให้เราได้ ไม่มีใครทำร้ายเราได้ นอกจากตัวของเราเอง" เป็นจริงแน่แท้
วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554
จิ๊กซอร์ที่รอคอย
กระบวนการของมูลนิธิไทยกรุณา มีข้อจำกัดมากมาย นับตั้งแต่เรื่องจิปาถะ จนถึงเรื่องใหญ่คือกฎหมายที่ไม่เอื้ออำนวย แต่ก็ยังไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับ ราคาสมุนไพรที่ได้สูงขึ้นอย่างน่ากลัว ยกตัวอย่างเช่นกานพลู เริ่มจากหลักสิบ ช่วงนี้ถูกปั่นราคาไปจน หกร้อยกว่าๆ แล้ว สิ่งนี้แหละคืออุปสรรคใหญ่ที่ทำให้การเติบโตทำไม่ได้ เพราะไม่สามารถหาทุนรอนมาซื้อได้อย่างเพียงพอ
แต่ข่าวล่าสุดในสัปดาห์นี้ เหมือนฟ้าประทานจิ๊กซอร์ตัวนี้มาให้ เนื่องด้วย ท่านพลเอกสิทธิศักด์ เทภาสิต และทีมงาน ได้ติดต่อไปยังฝั่งพม่า ให้สืบหาสมุนไพรที่หลวงพ่อนิพนธ์ต้องการ ว่ามีหรือไม่ และมีจำนวนเท่าใด คำตอบที่ได้เป็นที่น่าปลาบปลื้มยิ่ง เพราะสมุนไพรตัวหลักที่ทุกคนต้องทาน ที่ประเทศไทย คนเก็บคิดราคาโลละหลายร้อยบาท ทางพม่าบอกว่ามีเยอะ และคิดราคาโลละ ยี่สิบบาทเท่านั้น สมุนไพรตัวอื่นๆ ก็เช่นกัน เขาคิดราคาที่ทำให้ พลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า ในไม่ช้า งานที่รออยู่ ไม่ว่ายาเสพติด คนไข้ทั่วไป และคนไข้เอดส์ เราจะสามารถมีแหล่งสมุนไพรมาป้อนได้อย่างเพียงพอ สามารถให้คนไข้ได้รับสมุนไพรอย่างเต็มที่ นับว่าเป็นข่าวที่ดีที่สุด เพราะทุกคนต่างรอจิ๊กซอร์ตัวนี้อย่างใจจดใจจ่อ เพราะหมายถึง อนาคตของมูลนิธิไทยกรุณา ที่จะตอบสนองความต้องการคนไข้ และจะทำให้การประกาศสรรพคุณสมุนไพร สามารถลุล่วงได้ ยิ่งไปกว่านั้น แหล่งสมุนไพร มีทั้งมงคลจากธรรมชาติ และมงคลจากพระพุทธศาสนา ที่กำลังจะอุบัติ
สัญญาณนี้ เราว่าน่าจะเป็นสัญญาณที่ดี ที่ฟ้าได้เปิดให้ หลังจากภัยพิบัติครั้งนี้ ก็มีแนวโน้มว่า คนไข้จะต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และย่อมเป็นการบอกกล่าวว่า สัญญาณของการอุบัติของพระพุทธเจ้า กระชั้นเข้ามาทุกที อุทกภัย เป็นแค่โหมโรง ด่านต่อไป คือลม และแม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ยังต้องมีอีกสองด่าน ที่เราต้องเจอ หลังจากน้้นคือสิ่งที่เรารอ คือ ปาฎิหารย์อันเนื่องจากบุญญาธิการของพระพุทธเจ้า ที่จะมาดับทุกเข็ญของมนุษย์ มารอดูพยากรณ์ของแม่ชีเมี้ยนกัน
ด้วยจิ๊กซอร์ตัวนี้ งานด่วนที่มาขั้น คือ ช่วยผู้ประสพภัย ด้วยเครื่องอุปโภค บริโภค และที่สำคัญคือสมุนไพร หลังจากน้ำลด ก็คงลุล่วงเป็นแน่แท้ หลังฝนตก ฟ้าย่อมสดใส
ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมแรงร่วมใจในการนี้จนสำเร็จ ขอกราบคาราวะด้วยใจ
วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ข้าวรอฝน
สิ่งที่เราหรือใครบางคนอาจสงสัย ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของหลวงพ่อนิพนธ์ คืออะไร ก็เห็นประกาศ ค่าสมุนไพรก็ไม่เอา การเมืองก็ไม่ยุ่ง แล้วท่านต้องการอะไร ในการยุยงส่งเสริมให้คนมาทานสมุนไพรและมาเอาธรรมของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ ที่สำคัญจะเชื่อได้อย่างไรว่า สมุนไพรและคำสอนดังกล่าวเป็นของพระพุทธเจ้าจริง
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ถ่ายทอดคำสอนของแม่ชีเมี้ยนมาว่า โลกเรานี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่แค่สองอย่าง คือ กรรม และ ธรรม เท่านั้น ความศักดิ์สิทธิ์ของกรรมนั้นเห็นได้จาก ผู้ใดมีกรรม ผู้นั้นต้องได้รับผลกรรมนั้น ไม่มีสิงใดจะขวางหรือป้องกันได้ ไม่ว่าผู้นั้นจะมีฐานะใด เมื่อกรรมมาก็ต้องรับ ท่านยกตัวอย่าง ฝรั่งนำเด็กตั้งแต่แรกเกิด ทดลองให้อยู่และกินอาหารในที่ที่ปลอดเชื้อโรค ผลการทดลอง ก็ยังปรากฎว่าเด็กยังคงมีเชื้อมะเร็งอยู่ ดังนั้นสิ่งใดๆ ที่มนุษย์สร้างจึงป้องกันกรรมไม่ได้เลย กรรมจึงศักดิ์สิทธิ์ ปกครองมนุษย์ได้มาทุกยุคทุกสมัย กระนั้นก็ตาม ยังมีทางสายหนึ่งที่เป็นทางรอด ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ นั่นคือ ธรรม ที่เป็นช่องให้มนุษย์ได้มีโอกาสหนีกรรม ไม่ใช่ล้างกรรม
ก็ด้วยช่องทางนี้ จะเป็นตัวพิสูจน์ว่า คำสอนและสมุนไพร ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เป็นของจริงหรือของปลอม ก็ดูจากผลของการหนีกรรม ว่าเป็นอย่างไร สิ่งอันใดที่ท่านว่าศักดิ์สิทธิ์ สามารถทำให้เราหนีกรรมได้หรือไม่ มีบุญญาธิการที่จะปกป้องเราได้จากภัยต่างๆ หรือไม่ หลายสิบปีที่ผ่านมา ผลที่ปรากฎ ไม่เคยมีวิธีอื่นใดเลย นอกจากวิธีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาเท่านั้น ที่มีผู้คนประสพผล หรือพูดง่ายๆ ว่ารอด แม้จะไม่ทั้งหมด แต่ก็มีโอกาสรอด เป็นที่ประจักษ์
กระนั้นก็ตาม หลวงพ่อนิพนธ์ก็ยังบอกว่า สิ่งนี้เป็นเพียงเสี้ยวของความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนาเท่านั้น สิ่งที่เราได้จากการมาทานสมุนไพร และนำธรรมของพระพุทธเจ้าบางหมวดมาปฏิบัติ แล้วส่งผลที่ดีต่อชีวิต จะทำให้เราทราบซึ้ง และได้ทำตนเตรียมพร้อมที่จะเป็น พุทธศาสนิกชนของพระพุทธเจ้า อุปมาเปรียบดัง เรากำลังทำตนเป็น "ข้าวรอฝน" คือทำตนรอพระพุทธเจ้าที่จะมาอุบัติ เมื่อท่านมาอุบัติ เสี้ยวเล็กๆ นี้ ก็จะเป็นสะพานให้เราสามารถปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้โดยง่าย
สิงนี้ต่างหากที่เป็นจุดประสงค์หลักในการดำรงอยู่ของมูลนิธิไทยกรุณา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องโฆษณาให้คนมามากๆ หากแต่ต้องการคนที่ต้องการมีใจตรงกัน ที่จะศรัทธาและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า มาอยู่รวมกัน และก่อเป็นชุมชน สร้างความดี และมันจะเจริญงอกงาม กลายเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ให้แก่คนทุกข์คนยาก อันเป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ที่ยืนเด่นท่ามกลางศาสนาขอ ดังเช่นอินเดียในอดีต ที่เต็มไปด้วยลัทธิต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ธรรมเขาก็มีความเป็นหนึ่งเดียว ความศักดิ์สิทธิ์ของธรรมก็มีอยู่แต่กับพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ได้กระจายดาษดื่นทั่วไป อย่างที่พราหมณ์มันหลอกเรากิน ว่าอันนี้ศักดิ์สิทธิ์ อ้ายนี้ก็ศักดิ์สิทธิ์ เยอะแยะจนงง หลงทางกลับไม่ถูก ถ้าพูดเล่นๆ ตามหลวงพ่อนิพนธ์ ก็ต้องบอกว่า ถ้ามันศักดิ์สิทธิ์จริง ก็ลองเอาของจริง คือคนเป็นมะเร็ง หรือคนเป็นเอดส์ ไปให้ซิ ดูซิมันจะช่วยได้ไหม
ก็แล้วเราจะทำตัวเป็นข้าวรอฝน ในแผ่นดินของแม่ชีเมี้ยน รอวันโตและออกรวง หรือจะเป็นเม็ดข้าวที่ตกอยู่ในพื้นปูน แล้วคิดว่าเป็นดิน กว่าจะรู้ตัว ก็ถูกนกกาจิกกิน ไม่มีวันโต
น่าเสียดาย เพราะเราเหลือแค่เสี้ยวของพระพุทธศาสนา ที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ แต่เราก็ถือว่าเป็นพระคุณสูงสุดที่ทำให้เรายังเหลือทางรอดจากภัยพิบัติที่กำลังมารุมเร้ามนุษย์ ยิ่งคิดยิ่งน่าเสียดาย และผิดหวังที่คนไทย ไม่อาลัยจากการสูญเสียบุคคลที่ดีที่สุดในโลกนี้เลย ซ้ำร้ายยังไม่คิดส่งเสริม หรือรักษา เสี้ยวอันน้อยนิดนี้ไว้ในแผ่นดินอีก กรรมอะไรหนอ .......
ยิ่งเราได้ฟังหลวงพ่อนิพนธ์พูดว่า แม่ชีเมี้ยนอาจจะเอาเสี้ยวเล็กๆ นี้คืน นั่นก็หมายถึง แผ่นดินไทย ก็คงไร้ร่มโพธิ์ร่มไทร ให้พักพิงอีกต่อไป คำพูดเล่นๆ ที่ท่านมักพูดเสมอ คือ "สิ้นเรา ก็สิ้นสัญญา" ใครไม่คิดอะไร เราได้แต่ภาวนา ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย ใครมองเห็นหลวงพ่อนิพนธ์เป็นชายแก่ธรรมดาๆ แต่เราเห็นว่า ท่านเป็นตัวแทนของแม่ชีเมี้ยน เป็นบุคคลที่มีคุณค่าที่สุดในโลก น่าศรัทธาที่สุด ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร แต่เราเห็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ใช่เพราะเป็นลูกของแม่ชีเมี้ยน แต่ท่านเป็นคนเดียวที่สืบทอดคุณธรรม และน้ำใจของแม่ชีเมี้ยน มาเผื่อแผ่ให้พวกเรานั่นเอง
พงศาวดาร - ทำบุญ หรือ สร้าง "กรรม" กันแน่?
หลวงพ่อนิพนธ์ มักให้สติว่า "ทำอะไรต้องดูให้ดี" เพราะคนสมัยนี้มักง่าย อันเป็นสาเหตุให้สิ่งที่ทำไม่ส่งผลให้ดังตั้งใจ ท่านมักยกตัวอย่างที่เรียกว่าคลาสสิก คือ การที่คนไปทำบุญที่วัด ความตั้งใจอาจเปี่ยมล้น ความละเอียดในการทำหรือจัดสรรสิ่งของก็ล้นเหลือ เมื่อทำเสร็จก็ประคองสิ่งนี้ไปถวายวัดหรือถวายพระ กลับมาก็นั่งโมทนาในผลบุญที่ได้กระทำไป อิ่มอกอิ่มใจ แต่ในความจริงมันเป็นบุญหรือไม่ เราไม่เคยสืบสาวเลย
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าสิ่งของที่เราไปถวาย ตกไปถึงพระโจร เราไม่กลายเป็นให้กำลังโจรหรือ เราได้เห็นได้ยินข่าวพระนอกรีตมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เราไม่เคยนึกถึงคือ พระกำลังตัดกิเลส ถ้าเราถวายเงินให้พระ ทำให้พระมีเงิน และอยากไปโน่นไปนี่ ซื้อโน่นซื้อนี่ ไม่เท่ากับว่าไปส่งเสริมกิเลสของท่าน สิ่งนี้ก็เท่ากับเรากำลังทำลายพระใช่หรือไม่ เราพอใจแค่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ และหวังบุญ แต่สิ่งที่เราทำมันจะเป็นบุญได้อย่างไร ถ้าสิ่งของเหล่านั้นไม่ได้ถูกใช้ไปดังที่เราตั้งใจ คือส่งเสริมพระพุทธศาสนา กลับถูกใช้ไปในทางตรงข้าม
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมสิ่งที่เราทำจึงสูญเปล่า ไม่ย้อนกลับมาเป็นบุญคุ้มครองเราให้พ้นจากกรรมได้เลย เพราะสิ่งที่เราทำ หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า อุปมา เราหว่านข้าวลงบนพื้นปูน แล้วหวังข้าว ไม่มีวันจะได้ข้าวคืนกลับมาอย่างแน่นอน มีแต่จะถูกนกกาจิกกิน
เราจึงอยากบอกว่า พฤติกรรมในการทำบุญของพวกเรา ควรจะต้องมีความละเอียดจนสุดกระบวนการ ผลที่ได้จึงเป็นไปตามหวัง เมื่อท่านมีใจจะช่วยคนน้ำท่วม ท่านบริจาคเงิน แล้วเงินนั่นไปไหน ท่านพอใจแค่ได้บริจาค และยินดีที่ได้ทำบุญ ผลนั้นจะเป็นบุญได้อย่างไร เมื่อเงินของท่านไม่ได้ไปตามที่ต้องการ ถูก อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เก็บงำเป็นส่วนตัว หรืออยู่ในบัญชีของใคร แล้วท่านจะเอาบุญมาจากไหน เพราะมันกลายเป็นค่าเหล้าเสียแล้ว
คนไทยมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แต่ทำไมจึงมีพฤติกรรมกลายเป็นทำลายศาสนา ก็เพราะเราไปหลงเชื่อพราหมณ์ ที่ใช้ผ้าเหลือง ทำให้เราเดินไปในทางสร้างวัตถุ และหลงว่าเป็นบุญ ซึ่งแม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ไม่ใช่ทางของพระภูมี เพราะแหล่งบุญของพระภูมี คือการสร้างคน บุญของพระพุทธศาสนา ต้องมองที่คนทุกข์ ซึ่งเป็นแหล่งเดียวกับกรรม ก็ต้องทำกับคนเช่นกัน ช่วยคนสัตว์ก็เป็นบุญ ฆ่าคนสัตว์ก็เป็นกรรม ไม่ใช่สร้างวัตถุเป็นบุญ ทุบวัตถุเป็นบาป ทำให้เราเลยสิ่งที่ถูก หลงตามพราหมณ์ ไปยึดวัตถุ เครื่องลาง ไปวัดเพื่อสิ่งนั้น แล้วกลับมาบ้าน อิ่มใจได้บุญ แล้วก็ไปตีกัน ด่ากัน ทำร้ายกัน เพราะมีของดีอันนั้น แทนที่จะได้ธรรมของพระพุทธเจ้า นำกลับมาปฏิบัติทำให้คนในครอบครัว และรอบข้าง เป็นสุขที่เรามีธรรม ก็หาไม่ ผลที่ปรากฎ ดังพยากรณ์ของแม่ชีเมี้ยน ประเทศเราจึงถูกลงโทษ ด้วยน้ำ และกำลังตามมาด้วยลม และยังมีอีก
ผลของการกระทำ ย่อมมีพงศาวดารให้สืบสาว การมาเรียนรู้ในสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน ทำให้เรารู้และเข้าใจ ในการจะสร้างพงศาวดารที่ถูก เพื่อผลที่ถูก และไม่ว่าจะแย้งหรือเถียงสักฉันใด ผลผิดที่เกิดมาให้ทุกข์ ย่อมมาจากพงศาวดารที่ผิด แม้จะเกิดจากความตั้งใจที่ถูกก็ตาม สิ่งที่เกิด ที่ทำให้เราตกเป็นเหยื่อของพวกพราหมณ์ชุดเหลือง ก็เนื่องจากการขาดศาสนา ทำให้เราไม่รู้เรื่องราวของศาสนาที่แท้จริง จึงถูกหลอก
เมื่อของจริงเขามา พระพุทธเจ้าอุบัติ พวกพราหมณ์ชุดเหลืองเหล่านี้ จะถูกกวาดทิ้ง เรียกว่าสังคยานา เราจึงอยากเตือนว่า หยุดเถิด ไปหากินทางอื่น อย่ามาใช้พุทธศาสนา หากินเลย มิฉะนั้นแล้ว เราอาจได้เห็นเทวทัตถูกธรณีสูบในยุคนี้อีกก็เป็นได้
ฉะนั้น เราจึงไม่แปลกใจ ที่ไม่ว่าไปที่ไหนประเทศใด จะมีพระพุทธรูป ตั้งชื่อว่า "พระเจ้าทันใจ" ขออะไรได้หมด ไปที่ไหนก็มีพระศักดิ์สิทธิ์ ขอได้ ก็ถ้ามันขอได้จริง พระพุทธเจ้าท่านคงขอให้มนุษย์ไปนิพพานหมด ไปต้องมาเวียนว่าย ตาย เกิด อย่างนี้หรอก ขอยืนยัน พงศาวดารของพระพุทธศาสนา "พระพุทธเจ้ายังต้องทำ ถึง 6 ปี 4 เดือน สาวกทุกองค์ก็เช่นเดียวกัน" เมื่อเราจะเดินตาม จะใช้วิธีใด แล้วจะเรียกศาสนาขอเหล่านั้น ว่าเป็นของท่านได้อย่างไร ในเมื่อเราส่งเสริมศาสนาของพระโคดม ให้กลายเป็นศาสนาขอ แล้วจะไม่เรียกว่า เรากำลังทำลายศาสนาของท่านได้อย่างไร
"แล้วเราจะเอาธรรมของท่านไปไว้ไหน ในพงศาวดาร"
วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ใจคน - รางวัลแด่คนล่าฝัน
หลวงพ่อนิพนธ์ มักพูดเสมอ คนที่เขามา พกความหวังมากันเต็มบ่า โดยไม่สนใจที่จะเรียนรู้ หรือรับรู้อะไรเลย ฟังคำเขามา ก็มา ท่านคงตอบสนองความต้องการของคนเหล่านั้นไม่ได้หรอก เพราะศาสนาของพระภูมี เป็นศาสนาทำ ต่างกับพราหมณ์ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ที่เป็นศาสนาขอ อยากได้อะไรก็ขอ แต่เมื่อมาถึงพระพุทธเจ้า ท่านบอกอยากได้สิ่งไร ท่านจะสอนและให้ทำเอา
เฉกเช่นเดียวกัน คนเมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องสมุนไพร ว่าดียังงั้น หายอย่างนี้ เขาไม่สนรายละเอียดวว่า ต้องทำอย่างไร ต้องเรียนรู้อะไร แบกความหวังมา สิ่งที่หวังนั้นยิ่งใหญ่นัก ทานแล้วจะต้องไม่มีอะไรมาทำให้ทรมานเลย ต้องหายวันหายคืน แม้กระทั่งหายในสามวันเจ็ดวัน ความหวังเหล่านี้ เมื่อมาพบความจริง ย่อมเป็นไปไม่ได้ ท่านจึงกล่าวเสมอว่า เราคงไม่ตอบสนองความต้องการของคนเหล่านี้หรอก มันจึงไม่น่าแปลกใจ ที่คนมาลองในเส้นทางนี้ มากกว่าครึ่ง ที่ต้องเลิกลาไป หาใช่เพราะสมุนไพรไม่ให้คุณ แต่ไม่ให้ได้ตามใจหวังต่างหาก
เส้นทางสายนี้ ต้องอาศัยการเรียนรู้ ความเข้าใจ ที่สำคัญ ศรัทธา เชื่อมั่น จนก่อเกิดความขันติ อดทน ในการยืนระยะ จนได้ตามที่หวัง เราจึงเห็นคนสองจำพวก พวกหนึ่งแบกความหวังอย่างเดียว ไม่ช้าก็จากไป พวกหนึ่งวางความหวังมาแบกความจริง และวันหนึ่งเขาก็ได้ตามหวัง
สถานที่นี้ คงไม่ตอบสนองใจคนมา แต่ตอบสนองใจพระพุทธเจ้า คือคนไหนเอาธรรมของท่านไปทำ จนเป็นคนดีของท่าน เมื่อสะอาดใจ คนนั้นจะได้สะอาดกาย คือ ความไม่มีโรค เป็นของแถม นั่นและคือลาภอันประเสริฐ จากพระพุทธเจ้าที่ประทานเป็นรางวัลคนดีของท่าน
วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554
เรื่องของสุภาษิตโบราณ
ในคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ท่านมักจะยกคำสุภาษิตโบราณมา และแสดงความหมาย ทำให้เราคิดว่า อาจเป็นคำที่พระพุทธเจ้าท่านใช้เปรียบเทียบแต่โบราณ นานๆเข้า ความหมายอาจจะเพี้ยนไปบ้าง แต่เมื่อมารวมกัน และใช้อธิบายธรรมหมวดสมุนไพร ทำให้เราเห็นความหมายที่ชัดเจน ว่าท่านหมายถึงอะไร มีภาษิตหลายตัวที่เราฟังแล้วเห็นว่ามีประโยชน์ ก็อยากจะเก็บมาเล่าให้ฟังกันต่อ
ประโยคแรกที่หลวงพ่อนิพนธ์ท่านมักใช้บ่อยคือ "รำไม่ดี โทษปี่โทษกลอง" เหตุที่ท่านมักพูดประโยคนี้บ่อยๆ เพราะว่า คนทั่วไปจะเห็นท่าน สูบบุหรี่จัด ทานกาแฟวันละ นับสิบแก้ว จึงมักถามท่านว่า ทำไมจึงต้องทำอย่างนี้ ในเมื่อท่านสอนให้คนเป็นคนดี แต่ภาพของการสูบบุหรี่มันเป็นภาพที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง เพราะสังคมสมัยนี้ เขารณรงค์ และ ชี้ให้เห็นว่า คนสูบบุหรี่เป็นคนไม่ดี
คำตอบที่เราฟัง และทำให้เราถึงบางอ้อ ก็คือ "ก็เราเป็นผู้นำ ต้องเป็นผู้ที่ทำให้ดู เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น" ท่านมักบอกว่า สิ่งเหล่านี้ เราเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ แต่มนุษย์สมัยนี้ อ้างโน่น อ้างนี่เป็นเหตุ ท่านจึงแสดงให้ดูว่า ท่านเป็นชายวัยย่าง 70 ปี สูบบุหรี่ วันละสองซอง ทานกาแฟ นับสิบแก้วต่อวัน สิ่งที่คนหรือหมอหรือใครมักจะอ้างว่า ทำให้เป็นโรคนั้นโรคนี้ ทำไมไม่เป็น สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันคำพูดของพระพุทธเจ้าว่า "มนุษย์ต้องเป็นไปตามกรรม" ในเมื่อท่านเดินตามรอยพระพุทธเจ้า ชักชวนให้คนมาเดินตาม ไม่มีกรรมที่จะมาเป็นโรคเหล่านี้ การทำสิ่งนี้ ก็ไม่สามารถบันดาลโรคให้มาเกิดกับท่านได้
ท่านจึงชี้ให้เห็นว่า "พฤติกรรมของมนุษย์ที่สร้างกรรมต่างหาก ทำให้กรรมนั้นกลายเป็นโรคมาทำให้คนๆ นั้นเป็นทุกข์" ไม่ใช่ สิ่งนี้ สิ่งนั้น มาทำให้เป็น ดังนั้น คนที่อ้างโน่นอ้างนี่ เพื่อที่จะบอกว่า เป็นผู้ทำ ก็คือใช้คำอ้างตามตำรา "รำไม่ดี โทษปี่ โทษกลอง" นั่นเอง เพื่อหลีกเลี่ยง ปกปิด ว่าไม่ใช่ความผิดของตน แต่สิ่งหนึ่งที่เราทุกคนต้องยอมรับ คือ ความยุติธรรมของฟ้าดิน ถ้าเราไม่ผิด เราย่อมไม่ต้องมารับกรรมที่เกิดขึ้นนี้อย่างแน่นอน "ฟ้าไม่มีวันแกล้งคนที่ไม่ผิดอย่างแน่นอน"
ดังนั้น เมื่อผลผิดเกิดขึ้น กรรมเกิดรูปเป็นโรคแล้ว เราไม่รู้ว่าเป็นกรรมอะไร ต้องทำอย่างไร นั่นคือคำถามที่เราต้องการคำตอบ สิ่งนี้คือเหตุผลว่า ทำไมเราต้องมีศาสนา ต้องมีพระพุทธเจ้า ก็เพราะท่านเป็นผู้ตรัสรู้เรื่อง "กรรรม" นั่นเอง เราจึงไปหาศาสนา เพื่อเรียนรู้ และหาวิธีแก้กรรม ท่านจึงบอกว่า ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้า และเอาเหตุเอาผลที่ท่านตรัสทิ้งไว้ให้ ก็ยืดอก และใช้วิธีที่พระภูมีทิ้งธรรมหมวดสมุนไพรไว้ให้ ก้มหน้าก้มตา ทานสมุนไพร และยอมรับกับอาการที่จะเกิดด้วยความอดทน สงบ และหันมาประพฤติธรรมของท่านในบางหมวดเท่าที่ทำได้ เพื่อใช้กรรมที่ทำมา "เมื่อเรายอมใช้หนี้กรรมที่ทำมา สักวันก็ต้องหมดอย่างแน่นอน" เมื่อเราไม่มีกรรม แล้วโรคจะอยู่กับเราได้อย่างไร ถ้าเราทำได้ เราก็จะประสพผลกับธรรมหมวดนี้ คือ "ความไม่มีโรค"
สรุปที่ท่านมักจะกล่าวทิ้งท้าย คือ "ไม่มีใครทำให้เราได้ และไม่มีใครทำร้ายเราได้ นอกจากตัวเราเอง" อย่าเลย .... มัวแต่โทษโน่น โทษนี่ หันกลับมาพิจารณาว่า พฤติกรรมหรือนิสัยอะไร ที่เป็นโทษกับตัวเรา ดีกว่าไหม
แม่ชีเมี้ยน พยากรณ์ว่า คนไทยไม่เอาศาสนา ทำลายศาสนา ผลกรรมอันนี้ทำให้เกิดภัยพิบัติ วันนี้คำพยากรณ์นั้นมาถึงแล้ว เริ่มด้วยน้ำ กำลังตามมาด้วยลม มองดูเป็นเรื่องร้าย แต่ในร้ายก็มีดี เพราะจากภัยพิบัติครั้งนี้ คนจะเรียกร้องหาศาสนากันระงม และจะดิ้นรนไปหาจากพระพุทธเจ้า ภัยครั้งนี้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ คงต้องก้มหน้า และรอวันได้พบศาสนานั่นแล วันนั้นจะมาในอีกไม่ช้้า วันที่เราจะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ และเราจะกลับมาใช้ พ.ศ. 1 เฉกเช่น ในอดีต จาก พระกุสันโธ พระโคนาคม พระกัสปะ มาพระโคดม เราเชื่อที่แม่ชีเมี้ยนบอก และหวังว่าเราจะมีวันที่ได้ไปกราบพระพทธเจ้าองค์ใหม่ ใครไม่เชื่อเราเชื่อ
ประโยคแรกที่หลวงพ่อนิพนธ์ท่านมักใช้บ่อยคือ "รำไม่ดี โทษปี่โทษกลอง" เหตุที่ท่านมักพูดประโยคนี้บ่อยๆ เพราะว่า คนทั่วไปจะเห็นท่าน สูบบุหรี่จัด ทานกาแฟวันละ นับสิบแก้ว จึงมักถามท่านว่า ทำไมจึงต้องทำอย่างนี้ ในเมื่อท่านสอนให้คนเป็นคนดี แต่ภาพของการสูบบุหรี่มันเป็นภาพที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง เพราะสังคมสมัยนี้ เขารณรงค์ และ ชี้ให้เห็นว่า คนสูบบุหรี่เป็นคนไม่ดี
คำตอบที่เราฟัง และทำให้เราถึงบางอ้อ ก็คือ "ก็เราเป็นผู้นำ ต้องเป็นผู้ที่ทำให้ดู เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น" ท่านมักบอกว่า สิ่งเหล่านี้ เราเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ แต่มนุษย์สมัยนี้ อ้างโน่น อ้างนี่เป็นเหตุ ท่านจึงแสดงให้ดูว่า ท่านเป็นชายวัยย่าง 70 ปี สูบบุหรี่ วันละสองซอง ทานกาแฟ นับสิบแก้วต่อวัน สิ่งที่คนหรือหมอหรือใครมักจะอ้างว่า ทำให้เป็นโรคนั้นโรคนี้ ทำไมไม่เป็น สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันคำพูดของพระพุทธเจ้าว่า "มนุษย์ต้องเป็นไปตามกรรม" ในเมื่อท่านเดินตามรอยพระพุทธเจ้า ชักชวนให้คนมาเดินตาม ไม่มีกรรมที่จะมาเป็นโรคเหล่านี้ การทำสิ่งนี้ ก็ไม่สามารถบันดาลโรคให้มาเกิดกับท่านได้
ท่านจึงชี้ให้เห็นว่า "พฤติกรรมของมนุษย์ที่สร้างกรรมต่างหาก ทำให้กรรมนั้นกลายเป็นโรคมาทำให้คนๆ นั้นเป็นทุกข์" ไม่ใช่ สิ่งนี้ สิ่งนั้น มาทำให้เป็น ดังนั้น คนที่อ้างโน่นอ้างนี่ เพื่อที่จะบอกว่า เป็นผู้ทำ ก็คือใช้คำอ้างตามตำรา "รำไม่ดี โทษปี่ โทษกลอง" นั่นเอง เพื่อหลีกเลี่ยง ปกปิด ว่าไม่ใช่ความผิดของตน แต่สิ่งหนึ่งที่เราทุกคนต้องยอมรับ คือ ความยุติธรรมของฟ้าดิน ถ้าเราไม่ผิด เราย่อมไม่ต้องมารับกรรมที่เกิดขึ้นนี้อย่างแน่นอน "ฟ้าไม่มีวันแกล้งคนที่ไม่ผิดอย่างแน่นอน"
ดังนั้น เมื่อผลผิดเกิดขึ้น กรรมเกิดรูปเป็นโรคแล้ว เราไม่รู้ว่าเป็นกรรมอะไร ต้องทำอย่างไร นั่นคือคำถามที่เราต้องการคำตอบ สิ่งนี้คือเหตุผลว่า ทำไมเราต้องมีศาสนา ต้องมีพระพุทธเจ้า ก็เพราะท่านเป็นผู้ตรัสรู้เรื่อง "กรรรม" นั่นเอง เราจึงไปหาศาสนา เพื่อเรียนรู้ และหาวิธีแก้กรรม ท่านจึงบอกว่า ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้า และเอาเหตุเอาผลที่ท่านตรัสทิ้งไว้ให้ ก็ยืดอก และใช้วิธีที่พระภูมีทิ้งธรรมหมวดสมุนไพรไว้ให้ ก้มหน้าก้มตา ทานสมุนไพร และยอมรับกับอาการที่จะเกิดด้วยความอดทน สงบ และหันมาประพฤติธรรมของท่านในบางหมวดเท่าที่ทำได้ เพื่อใช้กรรมที่ทำมา "เมื่อเรายอมใช้หนี้กรรมที่ทำมา สักวันก็ต้องหมดอย่างแน่นอน" เมื่อเราไม่มีกรรม แล้วโรคจะอยู่กับเราได้อย่างไร ถ้าเราทำได้ เราก็จะประสพผลกับธรรมหมวดนี้ คือ "ความไม่มีโรค"
สรุปที่ท่านมักจะกล่าวทิ้งท้าย คือ "ไม่มีใครทำให้เราได้ และไม่มีใครทำร้ายเราได้ นอกจากตัวเราเอง" อย่าเลย .... มัวแต่โทษโน่น โทษนี่ หันกลับมาพิจารณาว่า พฤติกรรมหรือนิสัยอะไร ที่เป็นโทษกับตัวเรา ดีกว่าไหม
แม่ชีเมี้ยน พยากรณ์ว่า คนไทยไม่เอาศาสนา ทำลายศาสนา ผลกรรมอันนี้ทำให้เกิดภัยพิบัติ วันนี้คำพยากรณ์นั้นมาถึงแล้ว เริ่มด้วยน้ำ กำลังตามมาด้วยลม มองดูเป็นเรื่องร้าย แต่ในร้ายก็มีดี เพราะจากภัยพิบัติครั้งนี้ คนจะเรียกร้องหาศาสนากันระงม และจะดิ้นรนไปหาจากพระพุทธเจ้า ภัยครั้งนี้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ คงต้องก้มหน้า และรอวันได้พบศาสนานั่นแล วันนั้นจะมาในอีกไม่ช้้า วันที่เราจะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ และเราจะกลับมาใช้ พ.ศ. 1 เฉกเช่น ในอดีต จาก พระกุสันโธ พระโคนาคม พระกัสปะ มาพระโคดม เราเชื่อที่แม่ชีเมี้ยนบอก และหวังว่าเราจะมีวันที่ได้ไปกราบพระพทธเจ้าองค์ใหม่ ใครไม่เชื่อเราเชื่อ
วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554
รวมน้ำใจ ชมรมคนรักสุขภาพ แห่งมูลนิธิไทยกรุณา
จากภัยน้ำ ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แม่ชีเมี้ยนได้พยากรณ์ไว้แล้ว และในไม่ช้าจะมีภัยจากลมต่อเนื่องมานั้น ทำให้ภาระในการทดแทนคุณแผ่นดิน จึงต้องเพิ่มงานด่วนเข้ามาอีกงาน คือ การระดมสมาชิก เพื่อช่วยเพื่อนชาวไทย ในการจัดสิ่งของ เครื่องใช้ เข้าไปในเขตที่ได้รับภัยพิบัติอยู่ในขณะนี้ โดยกำหนดเป็นสองจุดที่จะเข้าไปช่วยเหลือ จุดแรกคือ สถานที่เกิดของแม่ชีเมี้ยน อันได้แก่ หนองแก้ว จ.ลพบุรี และวัดสุวรรณเจดีย์ ที่เจ้าอาวาสท่านช่วยเหลือกิจกรรมในการอุปสมบทพระของหลวงพ่อนิพนธ์มาตั้งแต่ปี 30 ตอนนี้กำลังรวบรวมอยู่ และคาดว่า หลังจากน้ำเริ่มลด กิจกรรมนี้ก็คงจะเริ่ม ถือได้ว่าเป็นน้ำใจจากมวลสมาชิกของชมรม ในการตอบแทนคุณแผ่นดิน อีกอย่างหนึ่ง
ส่วนที่เป็นของแถมแก่ผู้ประสพภัย คือ จะมีการจัดสมุนไพร ที่คิดว่าจำเป็น ในการแก้ไข โรคที่มากับน้ำ เช่น โรคตา น้ำกัดเท้า เป็นต้น ไปแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสพภัยด้วยเช่นกัน งานนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ กรรมการ และสมาชิก มีความเห็นร่วมกันว่า ควรจะดำเนินการเอง ไม่ควรผ่านหน่วยงานใด เพราะกลัวไม่ถึงมือผู้เดือดร้อนจริงๆ ตอนนี้ กำลังก็อยู่ในช่วงระดมสิ่งของ และจัดทำสมุนไพรอยู่ ถือว่าเป็นงานด่วน ที่มาแทรกขัดตาทัพ อ้อ! และทราบว่า ภัยจากลมที่จะมา จะเกิดสภาวะหนาวจัด ดังนั้น จึงจัดสมุนไพรที่ช่วยในการนี้เป็นการเฉพาะไปแจกด้วย และคงทำตามกำลังของมูลนิธิที่จะพอมี ในการทำตามจุดประสงค์ทดแทนคุณแผ่นดิน ใครมีโอกาสจะเข้าร่วมก็เชิญติดต่อ อ.อร่าม อ.สุนทร ที่มูลนิธิได้จ้า
ส่วนที่เป็นของแถมแก่ผู้ประสพภัย คือ จะมีการจัดสมุนไพร ที่คิดว่าจำเป็น ในการแก้ไข โรคที่มากับน้ำ เช่น โรคตา น้ำกัดเท้า เป็นต้น ไปแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสพภัยด้วยเช่นกัน งานนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ กรรมการ และสมาชิก มีความเห็นร่วมกันว่า ควรจะดำเนินการเอง ไม่ควรผ่านหน่วยงานใด เพราะกลัวไม่ถึงมือผู้เดือดร้อนจริงๆ ตอนนี้ กำลังก็อยู่ในช่วงระดมสิ่งของ และจัดทำสมุนไพรอยู่ ถือว่าเป็นงานด่วน ที่มาแทรกขัดตาทัพ อ้อ! และทราบว่า ภัยจากลมที่จะมา จะเกิดสภาวะหนาวจัด ดังนั้น จึงจัดสมุนไพรที่ช่วยในการนี้เป็นการเฉพาะไปแจกด้วย และคงทำตามกำลังของมูลนิธิที่จะพอมี ในการทำตามจุดประสงค์ทดแทนคุณแผ่นดิน ใครมีโอกาสจะเข้าร่วมก็เชิญติดต่อ อ.อร่าม อ.สุนทร ที่มูลนิธิได้จ้า
แกว่งตีนหาเสี้ยน
มนุษย์ทุกวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า มีพฤติกรรมท้าทาย ด้วยมั่นใจในวัตถุ ความเจริญในเทคโนโลยีที่ตนมีอยู่ และพึ่งในกิจวัตรประจำวัน จนเลยเถิด ว่าวัตถุเหล่านั้น จะเป็นที่พึ่งได้ในเรื่องของวิญญาณ ซึ่งเป็นความผิดมหันต์ เพราะสุขทุกข์ของวิญญาณ พระภูมิตรัสว่าเป็นไปตามกรรม ไม่มีวัตถุสิ่งของใดๆ ในโลกที่จะเหนือกรรม ดังนั้น โรคย่อมเป็นตัวแทนแห่งกรรม เพื่อมาทำให้วิญญาณของคนๆ นั้น ได้รับทุกขเวทนา ตามที่ทำมา ก็แล้วสิ่งที่มนุษย์คิดค้น จะมาเปลี่ยนแปลงกรรม มันคงเป็นไปไม่ได้ ท่านจึงกล่าวทุกครั้งว่า ถ้าพูดถึงโรคจริงๆ ที่มาทำให้มนุษย์ตาย ย่อมไม่มียา หรือ วิธีใด ที่เกิดจากความคิดของมนุษย์ที่จะมาเยียวยาได้ เพราะมนุษย์อยู่ใต้กรรม สิ่งเดียวที่ประจักษ์ ว่าอยู่เหนือกรรม คือพระพุทธเจ้า ดังนั้น วิธีเดียวที่จะชนะโรคได้ คือวิธีที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้กำหนด หรือตรัสให้ทำเท่านั้น
แม้ประจักษ์พยาน ที่สำคัญ จะมีให้เห็นคนแล้วคนเล่า นายแพทย์ชื่อดังที่คิดค้นวิธีที่จะต่อสู้กับมะเร็ง จนได้รับรางวัลโนเบลคนล่าสุด ก็ตายด้วยมะเร็งตับอ่อนไปแล้ว คนที่ร่ำรวย ติดอันดับโลก สตีฟ จ๊อป ก็วายชนม์ด้วยมะเร็งตับอ่อนเช่นกัน มันก็คงยังหยุดคลื่นมหาชนคนไทย ที่ถูกหลอกโดยบุคคลที่เขาเชื่อถือ ว่ามีภูมิรู้ ช่วยเขาได้ ให้เดินตามรอยนั้น และคงมีจุดจบเช่นรุ่นพี่ วงจรอุบาทว์อันนี้ ยังคงขยายตัวไป ทำให้พรหมลิขิตที่เขียนมาของมนุษย์ให้ตายตามเกณฑ์ 80 ปี ก็ต้องถูกลบไป กลายเป็นตายด้วยโรคอุบัติเหตุ อันเป็นผลเนื่องจากได้รับสารเคมีมากเกินกว่าร่างกายจะรับไหว นั่นเอง
เพราะความโลภของคน ทำให้เขาไม่สนใจว่า ผลิตภัณฑ์ที่เขาทำ จะทำให้เพื่อนมนุษย์มีชะตากรรมเลวร้ายปานใด สอดคล้องกับความอยากของคนที่มีค่านิยมผิดๆ แต่กลับถูกส่งเสริมให้ทำ จนยากจะหยุด อาทิเช่น การแต่งหน้า ครีมทาผิว ย้อมสีผม เพียงเพื่อผลในวันนี้ หารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดโรคทำร้ายเราในวันหน้าอย่างสาหัส วันหนึ่ง เราจะได้พบโรคที่ไม่เคยมีในอดีต แต่เราจะได้เห็นในยุคปัจจุบัน จะเกิดมีโรคมะเร็งเส้นผม และอื่นๆ ตามมา เชื่อหรือไม่ เพราะพฤติกรรมเช่นนี้ เท่ากับเรากำลังส่งเสริมให้ลูกหลาน แกว่งตีนหาเสี้ยน กลายเป็นโรคอุบัติเหตุ หมดอายุขัย หรือหมดสภาพก่อนเวลาอันควร
กรรมอะไรเล่า ทำให้พวกเราเห็นผิดเป็นชอบ ..... รู้ตัวอีกทีเสี้ยนก็ตำตัวแล้ว
ในไม่ช้าเราคงจะได้เห็น มนุษย์กระป๋อง เดินไปไหนก็ต้องมีกระป๋องออกซิเจนติดตัว เหมือนที่นักกีฬาใช้ แล้วมาแลดูกัน ว่าพยากรณ์นี้จะมีจริงหรือไม่
แม้ประจักษ์พยาน ที่สำคัญ จะมีให้เห็นคนแล้วคนเล่า นายแพทย์ชื่อดังที่คิดค้นวิธีที่จะต่อสู้กับมะเร็ง จนได้รับรางวัลโนเบลคนล่าสุด ก็ตายด้วยมะเร็งตับอ่อนไปแล้ว คนที่ร่ำรวย ติดอันดับโลก สตีฟ จ๊อป ก็วายชนม์ด้วยมะเร็งตับอ่อนเช่นกัน มันก็คงยังหยุดคลื่นมหาชนคนไทย ที่ถูกหลอกโดยบุคคลที่เขาเชื่อถือ ว่ามีภูมิรู้ ช่วยเขาได้ ให้เดินตามรอยนั้น และคงมีจุดจบเช่นรุ่นพี่ วงจรอุบาทว์อันนี้ ยังคงขยายตัวไป ทำให้พรหมลิขิตที่เขียนมาของมนุษย์ให้ตายตามเกณฑ์ 80 ปี ก็ต้องถูกลบไป กลายเป็นตายด้วยโรคอุบัติเหตุ อันเป็นผลเนื่องจากได้รับสารเคมีมากเกินกว่าร่างกายจะรับไหว นั่นเอง
เพราะความโลภของคน ทำให้เขาไม่สนใจว่า ผลิตภัณฑ์ที่เขาทำ จะทำให้เพื่อนมนุษย์มีชะตากรรมเลวร้ายปานใด สอดคล้องกับความอยากของคนที่มีค่านิยมผิดๆ แต่กลับถูกส่งเสริมให้ทำ จนยากจะหยุด อาทิเช่น การแต่งหน้า ครีมทาผิว ย้อมสีผม เพียงเพื่อผลในวันนี้ หารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดโรคทำร้ายเราในวันหน้าอย่างสาหัส วันหนึ่ง เราจะได้พบโรคที่ไม่เคยมีในอดีต แต่เราจะได้เห็นในยุคปัจจุบัน จะเกิดมีโรคมะเร็งเส้นผม และอื่นๆ ตามมา เชื่อหรือไม่ เพราะพฤติกรรมเช่นนี้ เท่ากับเรากำลังส่งเสริมให้ลูกหลาน แกว่งตีนหาเสี้ยน กลายเป็นโรคอุบัติเหตุ หมดอายุขัย หรือหมดสภาพก่อนเวลาอันควร
กรรมอะไรเล่า ทำให้พวกเราเห็นผิดเป็นชอบ ..... รู้ตัวอีกทีเสี้ยนก็ตำตัวแล้ว
ในไม่ช้าเราคงจะได้เห็น มนุษย์กระป๋อง เดินไปไหนก็ต้องมีกระป๋องออกซิเจนติดตัว เหมือนที่นักกีฬาใช้ แล้วมาแลดูกัน ว่าพยากรณ์นี้จะมีจริงหรือไม่
วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554
โหมโรง
คำพยากรณ์ของแม่ชีเมี้ยน ก่อนที่จะละสังขาร ที่มีแก่หลวงพ่อนิพนธ์ ท่านกล่าวไว้ว่า จะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาเกิด ให้สังเกตสัญญาณของฟ้าดิน นั่นคือ ภัยพิบัติที่จะพึงมารุมเร้า จนมนุษย์ต้องดิ้นรนหาวิธีดับยุคเข็ญ เมื่อนั้น พระพุทธเจ้าจะใช้บุญญาธิการของท่าน แสดงให้มนุษย์เห็นว่า การปฏิบัติธรรมของท่าน นั่นแหละคือวิธีการดับยุคเข็ญ แล้วมนุษย์จะหันมาหาศาสนาเป็นที่พึ่งอีกครั้ง
วันนี้ ใกล้จะถึงวันที่แม่ชีเมี้ยนพยากรณ์แล้ว น้ำที่ให้คุณมาหลายชั่วอายุคน ตอนนีกำลังให้โทษ แต่สิ่งนี้ยังเป็นแค่บทโหมโรง เพราะในไม่ช้า คำพยากรณ์ที่ตามมา คือ ภัยจากลมที่กำลังจะเกิดมากระหน่ำซ้ำ เมื่อได้ฟังพยากรณ์ทำให้รู้สึกเสียวสันหลัง เพราะแค่ภัยจากน้ำที่เกิดกับประเทศของเราทุกวันนี้ ก็หนักหนาสาหัส และไม่กล้าที่จะคิดเลยว่าภัยที่จะพึงเกิดจากลม ที่ท่านพยากรณ์ไว้จะรุนแรงสักฉันใด ความหนาวเย็นของลมที่กำลังจะมา ก็ทำให้เรารู้สึกสะท้านเพียงแค่ได้ยินพยากรณ์นี้ ได้แต่หวังว่าเพื่อนไทยของเราจะสำนึกและรับรู้ได้ว่า ทางเดียวที่เราจะรอดคือความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และหันกลับมาในแนวทางที่ถูกต้องของพระพุทธศาสนา
ซ้ำร้าย เคราะห์กรรมของประเทศครั้งนี้ ยังมีต่อจากลมอีก เราก็เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม กับความสูญเสียที่จะพึงบังเกิด ทำใจไว้ก่อน ว่าเป็นกรรมของเรา แต่ก็ยังมีหวังเล็กๆ ว่า หลังจากเคราะห์กรรมครั้งนี้ เราจะได้มีโอกาสไปกราบพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่จะบังเกิด
ดังนั้น เราจึงขอให้ทุกท่านรักษาเนื้อรักษาตัวกับภัยพิบัตินี้ และรอดูว่าคำพยากรณ์ของแม่ชีเมี้ยนจะเป็นจริงหรือไม่ หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนว่า ให้เราน้อมเอาธรรมของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ เพื่้อให้รอดปลอดภัย เพราะสิ่งเดียวที่จะพาให้รอดคือ บุญ ที่เกิดจากการทำตามคำสอนนั่นเอง พยากรณ์อันนี้ ใครจะเชื่้อหรือไม่ก็ช่าง แต่เราเชื่อ จึงกล่าวเตือนให้ระวังให้จงหนัก และถ้ามีโอกาสก็ช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติตามกำลังของแต่ละบุคคล
อะไรเป็นตัวชี้ว่ามนุษย์ทุกวันนี้ขาดศาสนา ก็เห็นได้จากคำแนะนำสารพัด ที่ออกทางสื่อ ให้ทำเขื่อน ให้ขุดแม่น้ำ ให้ทำโน่นทำนี่ มันช่างห่างไกลจากคำสอนยิ่งนัก เพราะสิ่งที่มนุษย์สร้างไม่มีวันกันกรรมได้อย่างแน่นอน สิ่งเดียวที่เหนียวแน่น และสมน้ำสมเนื้อกับกรรม คือ ธรรมนั่นเอง ไม่ต้องสร้างอะไรให้มากมาย หลงทาง หลงเชื่อว่าวัตถุช่วยได้ หันกลับมามองพุทธศาสนา ที่ปู่ย่าตายาย เราสอนสั่ง ให้เชื่อและทำตาม แล้วเราจะมีผนังทองแดง กำแพงบุญ ดีกว่าวัตถุใดๆ ทั้งสิ้น ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะรณรงค์ให้ทุกคนกลับมาทำความดี ไว้เพื่อปกป้องตัวเอง และบ้านเมือง
เรายังไปหลงเชื่อฝรั่ง ยกค่าของวัตถุเป็นที่พึ่ง ดูประเทศต้นแบบซิ เจอเฮอริเคน สึนามิเข้าไป แล้วเป็นไง กลับมาเชื่อปู่ยาตายายของเรา เข้าวัด ทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน มีน้ำใจต่อกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ เป็นเครื่องมือกันกรรม ไม่ดีกว่าหรือ หรือว่าท่านไม่เชื่อว่า สิ่งเหล่านั้น เกิดจากกรรม เช่นนั้นแล้ว ความดีก็ไร้ค่า ก็ลองเลือกทำดู สร้างวัตถุ กับ สร้างความดี ใครจะรอด
วันนี้ ใกล้จะถึงวันที่แม่ชีเมี้ยนพยากรณ์แล้ว น้ำที่ให้คุณมาหลายชั่วอายุคน ตอนนีกำลังให้โทษ แต่สิ่งนี้ยังเป็นแค่บทโหมโรง เพราะในไม่ช้า คำพยากรณ์ที่ตามมา คือ ภัยจากลมที่กำลังจะเกิดมากระหน่ำซ้ำ เมื่อได้ฟังพยากรณ์ทำให้รู้สึกเสียวสันหลัง เพราะแค่ภัยจากน้ำที่เกิดกับประเทศของเราทุกวันนี้ ก็หนักหนาสาหัส และไม่กล้าที่จะคิดเลยว่าภัยที่จะพึงเกิดจากลม ที่ท่านพยากรณ์ไว้จะรุนแรงสักฉันใด ความหนาวเย็นของลมที่กำลังจะมา ก็ทำให้เรารู้สึกสะท้านเพียงแค่ได้ยินพยากรณ์นี้ ได้แต่หวังว่าเพื่อนไทยของเราจะสำนึกและรับรู้ได้ว่า ทางเดียวที่เราจะรอดคือความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และหันกลับมาในแนวทางที่ถูกต้องของพระพุทธศาสนา
ซ้ำร้าย เคราะห์กรรมของประเทศครั้งนี้ ยังมีต่อจากลมอีก เราก็เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม กับความสูญเสียที่จะพึงบังเกิด ทำใจไว้ก่อน ว่าเป็นกรรมของเรา แต่ก็ยังมีหวังเล็กๆ ว่า หลังจากเคราะห์กรรมครั้งนี้ เราจะได้มีโอกาสไปกราบพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่จะบังเกิด
ดังนั้น เราจึงขอให้ทุกท่านรักษาเนื้อรักษาตัวกับภัยพิบัตินี้ และรอดูว่าคำพยากรณ์ของแม่ชีเมี้ยนจะเป็นจริงหรือไม่ หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนว่า ให้เราน้อมเอาธรรมของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ เพื่้อให้รอดปลอดภัย เพราะสิ่งเดียวที่จะพาให้รอดคือ บุญ ที่เกิดจากการทำตามคำสอนนั่นเอง พยากรณ์อันนี้ ใครจะเชื่้อหรือไม่ก็ช่าง แต่เราเชื่อ จึงกล่าวเตือนให้ระวังให้จงหนัก และถ้ามีโอกาสก็ช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติตามกำลังของแต่ละบุคคล
อะไรเป็นตัวชี้ว่ามนุษย์ทุกวันนี้ขาดศาสนา ก็เห็นได้จากคำแนะนำสารพัด ที่ออกทางสื่อ ให้ทำเขื่อน ให้ขุดแม่น้ำ ให้ทำโน่นทำนี่ มันช่างห่างไกลจากคำสอนยิ่งนัก เพราะสิ่งที่มนุษย์สร้างไม่มีวันกันกรรมได้อย่างแน่นอน สิ่งเดียวที่เหนียวแน่น และสมน้ำสมเนื้อกับกรรม คือ ธรรมนั่นเอง ไม่ต้องสร้างอะไรให้มากมาย หลงทาง หลงเชื่อว่าวัตถุช่วยได้ หันกลับมามองพุทธศาสนา ที่ปู่ย่าตายาย เราสอนสั่ง ให้เชื่อและทำตาม แล้วเราจะมีผนังทองแดง กำแพงบุญ ดีกว่าวัตถุใดๆ ทั้งสิ้น ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะรณรงค์ให้ทุกคนกลับมาทำความดี ไว้เพื่อปกป้องตัวเอง และบ้านเมือง
เรายังไปหลงเชื่อฝรั่ง ยกค่าของวัตถุเป็นที่พึ่ง ดูประเทศต้นแบบซิ เจอเฮอริเคน สึนามิเข้าไป แล้วเป็นไง กลับมาเชื่อปู่ยาตายายของเรา เข้าวัด ทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน มีน้ำใจต่อกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ เป็นเครื่องมือกันกรรม ไม่ดีกว่าหรือ หรือว่าท่านไม่เชื่อว่า สิ่งเหล่านั้น เกิดจากกรรม เช่นนั้นแล้ว ความดีก็ไร้ค่า ก็ลองเลือกทำดู สร้างวัตถุ กับ สร้างความดี ใครจะรอด
วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ธรรมหมวดสมุนไพร มีที่มาอย่างไร
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ยืนยันในหลักที่ท่านใช้ว่า ไม่ใช่ความคิดของท่าน ไม่ใช่ความคิดของแม่ชีเมี้ยน หรือใครๆทั้งสิ้น แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า สูตรนี้เป็นหลักของพระพุทธเจ้า ท่านทราบจึงนำมาให้ ดังนั้น ท่านจึงบอกว่า เนื่องด้วยเป็นของพระพุทธเจ้า พระภูมีตรัสว่า สมุนไพรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติอยู่แล้ว เขาสร้างมาให้มนุษย์คู่กับโลก การเชิญเขามาและยังคงความศักดิ์สิทธิ์ ผู้นั้นต้องมีคุณธรรม ดังนั้น ผู้เรียนจึงต้องให้สัญญาว่า จะทำเพื่อให้เพียงอย่างเดียว เพราะมีอยู่แล้ว เมื่อพระถาม แม่ชีเมี้ยนจึงตอบได้โดยทันที ไม่ต้องค้นคว้า และไม่ต้องมาลองผิดลองถูก ในสัดส่วนใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อพระถามว่า ธรรมหมวดนี้มีไว้เพื่อสิ่งไร หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า เมื่อพระพุทธเจ้าสำเร็จ และทรงมีเมตตามหาศาล เล็งเห็นว่า สาวกของท่านมีสองกลุ่ม คือ กลุ่มหนึ่ง เป็นผู้ปฏิบัติ มุ่งผลสำเร็จคือมรรคผลนิพพาน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ผู้ที่เลื่อมใสแต่ยังไม่คิดจะละทางโลก ด้วยเมตตาของท่าน จึงได้ตรัสธรรมหมวดนี้ เพื่อให้หวังผลสำเร็จทางโลก คือ "ความไม่มีโรค" อันหมายถึง "มนุษย์สมบัติ" ดังนั้น ไม่ว่า พระหรือโยม ที่ปฏิบัติตามพระภูมี จะมีสิ่งที่โดดเด่นเห็นได้ชัด คือ ไม่มีโรค ไม่ว่าอายุสักเท่าใด ตาไม่ผ้าฟาง หลังตรง ทำกิจธุดงค์ได้จนวันหมดอายุขัย
ด้วยความที่ทรงรู้ความจริงที่แน่แท้ ทำให้สูตรสมุนไพรที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ท่านจึงบอกว่า มุ่งหมายเพื่อฟื้นฟูอวัยวะ 32 และเสริมสร้างภูมิต้านทาน ไม่ขึ้นกับโรค เพราะไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ก็ล้วนแล้วแต่มีอาการ 32 เหมือนกัน ดังนั้น จึงเป็นสูตรครอบจักรวาล ที่ใช้เป็นวัตถุดิบ ที่ร่างกายนำไปย่อย แล้วจัดสรรไปใช้ฟื้นฟูส่วนต่างๆ เอง เพราะร่างกายทุกส่วน ธรรมชาติสร้างขึ้นมา เมื่อมีวัตถุดิบก็สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ และเป็นการฟื้นฟูทั้งระบบ ไม่เฉพาะทานเพื่อรักษา แต่ยังเป็นการทานเพื่อป้องกันได้อีกด้วย ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า ผู้ที่ทานสมุนไพรแล้ว จนร่างกายปรับสมดูลธาตุทั้งสี่ได้ รับรองได้ว่า ในอนาคต ไม่มีโรคอัมพฤกต์ มะเร็ง อย่างแน่นอน
ก็แล้วในพระไตรปิฎก มีชีวกกุมาร มารักษาพระพุทธเจ้า แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ก็สิ่งนี้พราหมณ์มันแต่งขึ้น หลังสิ้นยุคพระพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์ของเขาเอง เขาจึงเขียนให้พระพุทธเจ้า มีภาพผิดเพี้ยนไป ก็ลองตรองดู คนที่ไหนมีเกศแหลม ในเมื่อพระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นคนธรรมดา บวชพระ ปลงผม แล้วจะมีเกศได้อย่างไร รูปจำลองพระพุทธเจ้าที่เห็นกันดาษดื่น ก็มีเกศแหลม ในความเป็นจริงจะเป็นได้อย่างไร และถ้าจะทำรูปท่าน ก็ลองนึกถึงคนอายุ 80 ปี จะมีผิวพรรณอย่างไร ก็คงเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลานั่นเอง คล้ายๆ รูปเหมือนเกจิทั้งหลาย อันนี้ก็ไม่ได้ให้เชื่อ แต่ให้ลองตรองดู เป็นสิ่งที่ให้พิจารณาดูเท่านั้น ถ้าพระพุทธเจ้าไม่รู้แจ้งสิ่งนี้ ท่านจะตรัสได้อย่างไรว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ในเมื่อทุกคนต้องเป็นโรค ถ้าไม่มีวิธีที่ทำให้คนไม่มีโรคได้จริง พระพุทธเจ้าท่านก็โกหก ท่านจะไปนิพพานได้อย่างไร ขอย้ำเป็นความเชื่อของกลุ่มบุคคล ไม่มีความคิดที่จะลบล้างอันใด หรือละเมิดสิ่งใด หลวงพ่อนิพนธ์จึงยืนยันว่า สูตรสมุนไพรนี้เป็นของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของใครที่ไหน ผู้ที่จะประสพผลสำเร็จ จึงต้องมีสองส่วน "สมุนไพรล้างโรค ธรรมล้างกรรม" กรรมที่ปรากฎเป็นรูปกรรม คือโรค ก็ต้องธรรมที่ปรากฎเป็นรูป คือสมุนไพร กรรมที่เป็นนาม ก็ต้องใช้ธรรม ที่เป็นนาม จึงเห็นได้ว่า ผู้ที่คิดมาทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว โดยฟังคำคนเล่า และวาดวิมานมา จึงยากที่จะประสพผล
สิ่งสุดท้ายที่หลวงพ่อนิพนธ์มักจะกล่าวในตอนท้ายของคำสอนของท่านคือ ให้ลืมเรื่องโรค ไม่ว่าจะเป็นอะไร แล้วมาคิดว่า เราจะต้องทำอย่างไรตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเราจะพบสุขได้ อย่างไร จะแสวงหามาให้ตนเอง คงเป็นไปไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า "ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว" ท่านจึงบอกว่า คนที่จะหายจากโรคได้ง่าย สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ นิสัยและพฤติกรรมต้องเปลี่ยน เอานิสัยพระพุทธเจ้าบางประการไปใช้ เช่น ค้าขาย ก็เปลี่ยนมาเป็นคนยุติธรรม ไม่โกงตาชั่ง ไม่เอาของเสียมาขาย พูดง่ายๆ ก็ต้องกลายเป็นพระเวสสันดรนั่นเอง
ที่มูลนิธิไทยกรุณานี่จึง ไม่ต้องใช้การตรวจ ไม่ต้องสนว่าเป็นโรคอะไร และแม้จะมากันพร้อมทีเดียวเป็นล้าน แม่ชีเมี้ยนจึงบอกว่า สูตรของพระพุทธเจ้า รักษาได้พร้อมกันหมด และที่สำคัญที่แฝงในสูตรของพระพุทธเจ้า คือ จะมีสิ่งหนึ่งที่หมอใดในโลกไม่มี ก็คือ บุญรักษา ที่เกิดจาก การมารวมกันเพื่อทำความดีตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านจึงบอกว่าเพราะสิ่งนี้ ที่นี้แม้นไม่มีพยาบาล หรือเครื่องมือ ที่จะช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน ปัจจุบันทันด่วน แต่ด้วยมีสิ่งนี้ ทำให้ไม่เคยมีใครมาเสียชีวิตในแผ่นดินนี้ ด้วยเหตุนี้นั่นเอง จึงมีความจำเป็นที่ต้องมีกิจกรรม ต้องสวดมนต์ ต้องมีโรงทาน นั่นเอง
ท่านจึงกล่าวว่า "ผลแพ้ชนะ ผู้ทานเป็นผู้กำหนด" ทุกคนจึงมีสิทธิ์ที่มาลองใช้เป็นทางเลือก ผู้ทำได้ก็สำเร็จผลดังหวัง ผู้ที่ไม่ทำหรือทำไม่ได้ จะกล่าวว่าสมุนไพรของท่าน สิ่งนี้ก็คงไม่ยุติธรรม
ฝรั่งสอนสั่งลูกหลานเรา ว่าผู้ประสพความสำเร็จในชีวิต คือ ผู้ที่มั่งมีทรัพย์ ในขณะที่พระภูมี สอนสั่งว่า "ความไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐ" แล้วท่านจะเดินไปในทางไหน กอบโกย หรือ เกื้อกูล ... ใครจะว่าไรก็ช่าง เราชวนชักให้กลับมาเดินถนนสายของพระภูมี เพื่อชีวิตที่เป็นสุข และปลอดภัย เรามีพระมหาราชา เรามีศาสนาที่เป็นเอก และเรามีชาติมีภาษา ดีที่สุดในโลก เราจะไปหลงคารมเดินตามเขาทำไม
วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554
เมื่อเวรกรรมไล่ล่า ปรียานุช ปานประดับ
คนเราสามารถหนีเวรกรรมได้ไหม เวลาเราป่วย จะบอกว่าเพราะเราเป็นเพราะสาเหตุนั้นสาเหตุนี้ ไปอยู่ในที่มีรังสี ไปรับเชื้อตรงโน้นตรงนี้มา แต่ในทางศาสนา เราก็อาจเรียกมันว่า "เวรกรรม"
หลายคนคงเคยได้ยินข่าวของนางงาม นักแสดงสาว ปรียานุช ปานประดับ ว่าเธอป่วยเป็นโรคหลายโรครุมเร้า กระดูกป่น เดินแทบไม่ได้ ร่างกายก็อ่อนแอมาก ขนาดหมอดูยังมาทักว่าใกล้ตายแล้วอีก!!! เมื่อเวรกรรมไล่ล่า ปรียานุช ปานประดับ เธอรับมือกับมันอย่างไร เธอหนีเวรกรรมได้ไหม อะไรที่ทำให้เธอยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้
เชิญมาฟังเธอพูดเองในรายการ "บอกเล่าเก้าสิบ" ทาง Modern 9 TV แล้วคุณจะรู้ว่า เธอเผชิญอะไรมาบ้าง และ รักษาตัวอย่างไรถึงหายจากโรคร้ายต่างๆ
"เมื่อเวรกรรมไล่ล่า" หนังสือที่เปิดเผยเรื่องราวของปรียานุช ปานประดับ และแนวทางที่เธอเลือกในการรักษาตัว ลองหาซื้อมาอ่านดูนะคะ แนะนำจริงๆ
วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554
คนใหญ่โตเขาคิดอะไรกันอยู่
ในขณะที่ประเทศผู้ผลิตยา ออกกฎหมายบังคับให้ขายและซื้อสมุนไพร แล้วประเทศไทยทำอะไร
ดร.สุชาดา มารวาฮา กล่าวถึงประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ขึ้นทะเบียนพืชสมุนไพร 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตราย ว่า ยังงงกับประกาศดังกล่าว เพราะพืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิดล้วนมีประโยชน์และมีคุณสมบัติดีต่อสุขภาพ หลายชนิดมีการใช้รักษาโรคมานานกว่า 1,000 ปี เช่น ขมิ้น ขิง ตำราการรักษาโรคแบบโบราณในหลายประเทศ เช่น อินเดีย มีการใช้สมุนไพรทั้ง ขมิ้น และขิง รักษาโรคมานานเช่นกัน
ด้านนายวัลลภ เผ่าพนัส นายกสมาคมแพทย์แผนไทย เชียงใหม่ กล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ขึ้นทะเบียนพืชสมุนไพร 13 ชนิด คือ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก ขึ้นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดอกดึง และหนอนตายหยาก เป็นวัตถุอันตราย ชนิดที่ 1 บัญชี ข. พืชสมุนไพรทั้งหมดไม่น่าจะใช้วัตถุอันตราย แต่สิ่งที่เป็นอันตรายอีกหลายชนิดกระทรวงฯ กลับไม่ประกาศให้เป็นวัตถุอันตราย จึงไม่เข้าใจว่าประกาศดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ต้องดูรายละเอียดที่ชัดเจนอีกครั้ง
โชคยังดีที่ความคิดอกุศลเยี่ยงนี้ ล้มลงในที่สุด
สิ่งนี้ทำให้เราคิดว่า เพราะเขารู้ว่า มีสมุนไพรของจริงเกิดขึ้นมา เขาจึงกลัว กลัวที่คนจะรู้ว่า ของเขาเป็นของปลอมนั่นเอง แต่เราว่าเขาวิตกเกินไป เพราะคนที่ชอบ กินปุ๊บ หายปั๊บ มีมากมายเหลือคณา คนเหล่านั้น คงไม่เหมาะกับสมุนไพร เป็นแน่แท้ ดังนั้น อย่างน้อย วิชาการแพทย์สมัยใหม่ ก็ยังเป็นที่พึ่งทางใจให้คนเหล่านี้ได้ อย่างแน่นอน
สำหรับสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน ย่อมถูกตรวจสอบอย่างละเอียดแน่นอน กระทั่งในยุคถ้ำกระบอก อเมริกาถึงกับนำรถตรวจสอบบินข้ามฟากมาทดสอบถึงที่ จนต้องยอมรับ เมื่อผลเป็นที่ประจักษ์ พร้อมอนุมัติเงินช่วยเหลือถ้ำกระบอกในสมัยนั้น ในปัจจุบันก็เช่นกัน ก่อนจะมาเป็นมูลนิธิไทยกรุณา ยาเขียวทีใช้แจก ท่านเทใส่แก้วเหล้าเป็ก ให้ทาน ทานเสร็จล้างน้ำ แล้วก็รินให้คนต่อไป เขาแจ้งว่า วิธีนี้สกปรก อาจมีเชื้อโรคติดต่อ แพร่กระจายได้ ท่านจึงให้นำไปตรวจ และแนะนำให้เปรียบเทียบ แก้วหนึ่งให้เทน้ำร้อนใส่ อีกแก้วหนึ่งเทยาเขียวใส่ แล้วเทออก หลังจากนั้นให้ตรวจเชื้อโรคที่คงค้างในแก้ว จากผลการตรวจครั้งนั้น ทำให้ไม่มีข้ออ้างที่จะกล่าวหาได้อีก ท่านจึงบอกว่า ถ้าหากตัวสมุนไพรเองเขารักษาตัวเองไม่ได้ จะรักษาคนทานได้อย่างไร
ก็แล้วท่านๆ หล่ะ ตรวจสอบไหมว่าสิ่งที่ทาน มีผลกับตัวท่านอย่างไร เคยถามไหมว่า สิ่งนั้นมีผลข้างเคียงหรือไม่อย่างไร ทำไมจึงวางใจได้สนิท ทั้งๆ ที่มันผิดธรรมชาติ แต่ยุคนี้มันแปลก ธรรมชาติ กลับเป็นสิ่งผิด เราอาจได้เห็นสิ่งแปลกๆ ดังที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวกับ พลเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ ในครั้งก่อนที่ว่า อาจได้เห็นกฎหมาย ว่า คนที่มีอาการปวด ถ้าทานบอระเพ็ดติดคุก แต่หากทานยาแก้ปวด ถูกกฎหมาย ฤาว่า คนใหญ่คนโต ปี 52 กำลังทำให้คำกล่าวนี้เป็นจริง
ดร.สุชาดา มารวาฮา กล่าวถึงประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ขึ้นทะเบียนพืชสมุนไพร 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตราย ว่า ยังงงกับประกาศดังกล่าว เพราะพืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิดล้วนมีประโยชน์และมีคุณสมบัติดีต่อสุขภาพ หลายชนิดมีการใช้รักษาโรคมานานกว่า 1,000 ปี เช่น ขมิ้น ขิง ตำราการรักษาโรคแบบโบราณในหลายประเทศ เช่น อินเดีย มีการใช้สมุนไพรทั้ง ขมิ้น และขิง รักษาโรคมานานเช่นกัน
ด้านนายวัลลภ เผ่าพนัส นายกสมาคมแพทย์แผนไทย เชียงใหม่ กล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ขึ้นทะเบียนพืชสมุนไพร 13 ชนิด คือ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก ขึ้นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดอกดึง และหนอนตายหยาก เป็นวัตถุอันตราย ชนิดที่ 1 บัญชี ข. พืชสมุนไพรทั้งหมดไม่น่าจะใช้วัตถุอันตราย แต่สิ่งที่เป็นอันตรายอีกหลายชนิดกระทรวงฯ กลับไม่ประกาศให้เป็นวัตถุอันตราย จึงไม่เข้าใจว่าประกาศดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ต้องดูรายละเอียดที่ชัดเจนอีกครั้ง
โชคยังดีที่ความคิดอกุศลเยี่ยงนี้ ล้มลงในที่สุด
สิ่งนี้ทำให้เราคิดว่า เพราะเขารู้ว่า มีสมุนไพรของจริงเกิดขึ้นมา เขาจึงกลัว กลัวที่คนจะรู้ว่า ของเขาเป็นของปลอมนั่นเอง แต่เราว่าเขาวิตกเกินไป เพราะคนที่ชอบ กินปุ๊บ หายปั๊บ มีมากมายเหลือคณา คนเหล่านั้น คงไม่เหมาะกับสมุนไพร เป็นแน่แท้ ดังนั้น อย่างน้อย วิชาการแพทย์สมัยใหม่ ก็ยังเป็นที่พึ่งทางใจให้คนเหล่านี้ได้ อย่างแน่นอน
สำหรับสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน ย่อมถูกตรวจสอบอย่างละเอียดแน่นอน กระทั่งในยุคถ้ำกระบอก อเมริกาถึงกับนำรถตรวจสอบบินข้ามฟากมาทดสอบถึงที่ จนต้องยอมรับ เมื่อผลเป็นที่ประจักษ์ พร้อมอนุมัติเงินช่วยเหลือถ้ำกระบอกในสมัยนั้น ในปัจจุบันก็เช่นกัน ก่อนจะมาเป็นมูลนิธิไทยกรุณา ยาเขียวทีใช้แจก ท่านเทใส่แก้วเหล้าเป็ก ให้ทาน ทานเสร็จล้างน้ำ แล้วก็รินให้คนต่อไป เขาแจ้งว่า วิธีนี้สกปรก อาจมีเชื้อโรคติดต่อ แพร่กระจายได้ ท่านจึงให้นำไปตรวจ และแนะนำให้เปรียบเทียบ แก้วหนึ่งให้เทน้ำร้อนใส่ อีกแก้วหนึ่งเทยาเขียวใส่ แล้วเทออก หลังจากนั้นให้ตรวจเชื้อโรคที่คงค้างในแก้ว จากผลการตรวจครั้งนั้น ทำให้ไม่มีข้ออ้างที่จะกล่าวหาได้อีก ท่านจึงบอกว่า ถ้าหากตัวสมุนไพรเองเขารักษาตัวเองไม่ได้ จะรักษาคนทานได้อย่างไร
ก็แล้วท่านๆ หล่ะ ตรวจสอบไหมว่าสิ่งที่ทาน มีผลกับตัวท่านอย่างไร เคยถามไหมว่า สิ่งนั้นมีผลข้างเคียงหรือไม่อย่างไร ทำไมจึงวางใจได้สนิท ทั้งๆ ที่มันผิดธรรมชาติ แต่ยุคนี้มันแปลก ธรรมชาติ กลับเป็นสิ่งผิด เราอาจได้เห็นสิ่งแปลกๆ ดังที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวกับ พลเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ ในครั้งก่อนที่ว่า อาจได้เห็นกฎหมาย ว่า คนที่มีอาการปวด ถ้าทานบอระเพ็ดติดคุก แต่หากทานยาแก้ปวด ถูกกฎหมาย ฤาว่า คนใหญ่คนโต ปี 52 กำลังทำให้คำกล่าวนี้เป็นจริง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)