ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ธรรมหมวดสมุนไพร มีที่มาอย่างไร
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ยืนยันในหลักที่ท่านใช้ว่า ไม่ใช่ความคิดของท่าน ไม่ใช่ความคิดของแม่ชีเมี้ยน หรือใครๆทั้งสิ้น แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า สูตรนี้เป็นหลักของพระพุทธเจ้า ท่านทราบจึงนำมาให้ ดังนั้น ท่านจึงบอกว่า เนื่องด้วยเป็นของพระพุทธเจ้า พระภูมีตรัสว่า สมุนไพรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติอยู่แล้ว เขาสร้างมาให้มนุษย์คู่กับโลก การเชิญเขามาและยังคงความศักดิ์สิทธิ์ ผู้นั้นต้องมีคุณธรรม ดังนั้น ผู้เรียนจึงต้องให้สัญญาว่า จะทำเพื่อให้เพียงอย่างเดียว เพราะมีอยู่แล้ว เมื่อพระถาม แม่ชีเมี้ยนจึงตอบได้โดยทันที ไม่ต้องค้นคว้า และไม่ต้องมาลองผิดลองถูก ในสัดส่วนใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อพระถามว่า ธรรมหมวดนี้มีไว้เพื่อสิ่งไร หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า เมื่อพระพุทธเจ้าสำเร็จ และทรงมีเมตตามหาศาล เล็งเห็นว่า สาวกของท่านมีสองกลุ่ม คือ กลุ่มหนึ่ง เป็นผู้ปฏิบัติ มุ่งผลสำเร็จคือมรรคผลนิพพาน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ผู้ที่เลื่อมใสแต่ยังไม่คิดจะละทางโลก ด้วยเมตตาของท่าน จึงได้ตรัสธรรมหมวดนี้ เพื่อให้หวังผลสำเร็จทางโลก คือ "ความไม่มีโรค" อันหมายถึง "มนุษย์สมบัติ" ดังนั้น ไม่ว่า พระหรือโยม ที่ปฏิบัติตามพระภูมี จะมีสิ่งที่โดดเด่นเห็นได้ชัด คือ ไม่มีโรค ไม่ว่าอายุสักเท่าใด ตาไม่ผ้าฟาง หลังตรง ทำกิจธุดงค์ได้จนวันหมดอายุขัย
ด้วยความที่ทรงรู้ความจริงที่แน่แท้ ทำให้สูตรสมุนไพรที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ท่านจึงบอกว่า มุ่งหมายเพื่อฟื้นฟูอวัยวะ 32 และเสริมสร้างภูมิต้านทาน ไม่ขึ้นกับโรค เพราะไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ก็ล้วนแล้วแต่มีอาการ 32 เหมือนกัน ดังนั้น จึงเป็นสูตรครอบจักรวาล ที่ใช้เป็นวัตถุดิบ ที่ร่างกายนำไปย่อย แล้วจัดสรรไปใช้ฟื้นฟูส่วนต่างๆ เอง เพราะร่างกายทุกส่วน ธรรมชาติสร้างขึ้นมา เมื่อมีวัตถุดิบก็สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ และเป็นการฟื้นฟูทั้งระบบ ไม่เฉพาะทานเพื่อรักษา แต่ยังเป็นการทานเพื่อป้องกันได้อีกด้วย ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า ผู้ที่ทานสมุนไพรแล้ว จนร่างกายปรับสมดูลธาตุทั้งสี่ได้ รับรองได้ว่า ในอนาคต ไม่มีโรคอัมพฤกต์ มะเร็ง อย่างแน่นอน
ก็แล้วในพระไตรปิฎก มีชีวกกุมาร มารักษาพระพุทธเจ้า แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ก็สิ่งนี้พราหมณ์มันแต่งขึ้น หลังสิ้นยุคพระพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์ของเขาเอง เขาจึงเขียนให้พระพุทธเจ้า มีภาพผิดเพี้ยนไป ก็ลองตรองดู คนที่ไหนมีเกศแหลม ในเมื่อพระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นคนธรรมดา บวชพระ ปลงผม แล้วจะมีเกศได้อย่างไร รูปจำลองพระพุทธเจ้าที่เห็นกันดาษดื่น ก็มีเกศแหลม ในความเป็นจริงจะเป็นได้อย่างไร และถ้าจะทำรูปท่าน ก็ลองนึกถึงคนอายุ 80 ปี จะมีผิวพรรณอย่างไร ก็คงเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลานั่นเอง คล้ายๆ รูปเหมือนเกจิทั้งหลาย อันนี้ก็ไม่ได้ให้เชื่อ แต่ให้ลองตรองดู เป็นสิ่งที่ให้พิจารณาดูเท่านั้น ถ้าพระพุทธเจ้าไม่รู้แจ้งสิ่งนี้ ท่านจะตรัสได้อย่างไรว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ในเมื่อทุกคนต้องเป็นโรค ถ้าไม่มีวิธีที่ทำให้คนไม่มีโรคได้จริง พระพุทธเจ้าท่านก็โกหก ท่านจะไปนิพพานได้อย่างไร ขอย้ำเป็นความเชื่อของกลุ่มบุคคล ไม่มีความคิดที่จะลบล้างอันใด หรือละเมิดสิ่งใด หลวงพ่อนิพนธ์จึงยืนยันว่า สูตรสมุนไพรนี้เป็นของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของใครที่ไหน ผู้ที่จะประสพผลสำเร็จ จึงต้องมีสองส่วน "สมุนไพรล้างโรค ธรรมล้างกรรม" กรรมที่ปรากฎเป็นรูปกรรม คือโรค ก็ต้องธรรมที่ปรากฎเป็นรูป คือสมุนไพร กรรมที่เป็นนาม ก็ต้องใช้ธรรม ที่เป็นนาม จึงเห็นได้ว่า ผู้ที่คิดมาทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว โดยฟังคำคนเล่า และวาดวิมานมา จึงยากที่จะประสพผล
สิ่งสุดท้ายที่หลวงพ่อนิพนธ์มักจะกล่าวในตอนท้ายของคำสอนของท่านคือ ให้ลืมเรื่องโรค ไม่ว่าจะเป็นอะไร แล้วมาคิดว่า เราจะต้องทำอย่างไรตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเราจะพบสุขได้ อย่างไร จะแสวงหามาให้ตนเอง คงเป็นไปไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า "ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว" ท่านจึงบอกว่า คนที่จะหายจากโรคได้ง่าย สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ นิสัยและพฤติกรรมต้องเปลี่ยน เอานิสัยพระพุทธเจ้าบางประการไปใช้ เช่น ค้าขาย ก็เปลี่ยนมาเป็นคนยุติธรรม ไม่โกงตาชั่ง ไม่เอาของเสียมาขาย พูดง่ายๆ ก็ต้องกลายเป็นพระเวสสันดรนั่นเอง
ที่มูลนิธิไทยกรุณานี่จึง ไม่ต้องใช้การตรวจ ไม่ต้องสนว่าเป็นโรคอะไร และแม้จะมากันพร้อมทีเดียวเป็นล้าน แม่ชีเมี้ยนจึงบอกว่า สูตรของพระพุทธเจ้า รักษาได้พร้อมกันหมด และที่สำคัญที่แฝงในสูตรของพระพุทธเจ้า คือ จะมีสิ่งหนึ่งที่หมอใดในโลกไม่มี ก็คือ บุญรักษา ที่เกิดจาก การมารวมกันเพื่อทำความดีตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านจึงบอกว่าเพราะสิ่งนี้ ที่นี้แม้นไม่มีพยาบาล หรือเครื่องมือ ที่จะช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน ปัจจุบันทันด่วน แต่ด้วยมีสิ่งนี้ ทำให้ไม่เคยมีใครมาเสียชีวิตในแผ่นดินนี้ ด้วยเหตุนี้นั่นเอง จึงมีความจำเป็นที่ต้องมีกิจกรรม ต้องสวดมนต์ ต้องมีโรงทาน นั่นเอง
ท่านจึงกล่าวว่า "ผลแพ้ชนะ ผู้ทานเป็นผู้กำหนด" ทุกคนจึงมีสิทธิ์ที่มาลองใช้เป็นทางเลือก ผู้ทำได้ก็สำเร็จผลดังหวัง ผู้ที่ไม่ทำหรือทำไม่ได้ จะกล่าวว่าสมุนไพรของท่าน สิ่งนี้ก็คงไม่ยุติธรรม
ฝรั่งสอนสั่งลูกหลานเรา ว่าผู้ประสพความสำเร็จในชีวิต คือ ผู้ที่มั่งมีทรัพย์ ในขณะที่พระภูมี สอนสั่งว่า "ความไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐ" แล้วท่านจะเดินไปในทางไหน กอบโกย หรือ เกื้อกูล ... ใครจะว่าไรก็ช่าง เราชวนชักให้กลับมาเดินถนนสายของพระภูมี เพื่อชีวิตที่เป็นสุข และปลอดภัย เรามีพระมหาราชา เรามีศาสนาที่เป็นเอก และเรามีชาติมีภาษา ดีที่สุดในโลก เราจะไปหลงคารมเดินตามเขาทำไม
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น