ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554
สามมหาอำนาจของโลก
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมาสอน เราจึงค้นหาคำตอบ ที่ท่านมักกล่าวท้าทายอยู่เสมอว่า เพราะเหตุใดแม่ชีเมี้ยนจึงยืนยันว่า โลกนี้ไม่มียาที่มนุษย์คิดค้นจะสามารถรักษาโรค ไม่มีหมอใดที่รักษาโรคได้ ไม่มีพิธีกรรม หรือ เจ้าพ่อเจ้าแม่ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์สร้าง หรือพูดง่ายๆ ว่า คิดเอาเองว่าศักดิ์สิทธิ์ จะทำให้โรคที่มาคร่าชีวิตเรา หายได้ ไม่ว่า มนุษย์จะพึ่งเทคโนโลยีที่ว่าล้ำสมัยสักฉันใด หรือ พึ่งพิธีกรรม หรือ สิ่งอื่นใดที่คิด หรือนับถือกันเองว่าศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนเวลาตายได้แม้แต่เสี้ยววินาที ก็เพราะสิ่งเหล่านั้น ไม่มีอำนาจแก้ไข หรือ ลบล้าง พรหมลิขิตของเรานั่นเอง ก็แล้วอำนาจอะไรที่มีผลต่อพรหมลิขิตของเราท่าน
อำนาจแรก ที่เราสัมผัสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน คือ อำนาจกรรม พระพุทธเจ้าตรัสว่า "มนุษย์ย่อมเป็นไปตามกรรม" ดังนั้น กรรมที่เรามา นั่นคือพรหมลิขิต ที่เขียนมาแต่ชาติปางก่อน ระบุเวลาเกิด เวลาตาย สิ่งใด หรือ พิธีกรรมใด ก็ลบล้างไม่ได้ อำนาจนี้ มีกิเลส หรือ ที่เรียกกันว่า ความอยาก ทำให้เกิดซึ่่งอำนาจ สิ่งที่กระตุ้นให้เราทำ ก็คือ ความสุขที่จะได้รับเมื่อได้ทำ ผลที่เห็นประจักษ์ คือ "ให้สุขวันนี้ ให้ทุกข์ในวันหน้า" ทุกคนจึงชอบ และยากจะปฏิเสธที่จะทำ และมักได้รับความนิยมส่งเสริมให้กระทำ
อำนาจที่สอง คืออำนาจธรรม เป็นอำนาจที่เป็นเครื่องมือ ที่ใช้ต่อกร กับอำนาจกรรม เป็นเครื่องมือของพระพุทธเจ้า เมื่อท่านใช้อำนาจนี้ จนทำให้ตัวเองสำเร็จ ก็เกิดเป็นช่องให้สาวกได้เดินตาม ด้วยเหตุที่เป็นคู่ต่อสู้กัน แต่ใช้เส้นทางเดียวกันในการสร้าง ดังนั้น เอกลัษณ์จึงมีลักษณะย้อนทางกับ อำนาจกรรม เห็นได้ชัดว่า ต้องละความอยาก และมักจะให้ผลในทำนอง "ทุกข์วันนี้ เพื่อสุขวันหน้า" ยิ่งเห็นได้ชัดเลยว่า มักไม่ได้รับความนิยม หรือส่งเสริมให้กระทำสักเท่าใด แม้อาจจะมีคนกล่าวว่า มีคนนับถือมากมาย แต่ก็เป็นในลักษณะชอบแต่ไม่ทำ ดูได้จาก ในยุคของพระโคดม แม้จะเป็นพระพุทธเจ้าที่เพรียบพร้อม กว่าในยุคของ พระกุสันโธ พระโคนาคม หรือ พระกัสปะ ก็ยังมีสาวกเพียงแค่ แปดหมื่นกว่าองค์เท่านั้น ทั้งที่อินเดียในสมัยนั้น มีคนเป็นร้อยล้าน เมื่อเทียบเปอร์เซ็นต์แล้ว จะเห็นว่าเป็นเศษเสี้ยว ยิ่งถ้านับคนทั้งโลก ก็ยิ่งเป็นจำนวนน้อยกว่าน้อย 0.000001 เลยก็ว่าได้
แต่อำนาจทั้งสอง ก็ต้องขึ้นกับอำนาจที่สาม คือ อำนาจของวิญญาณ ที่จะเป็นตัวตัดสินว่า จะให้หนึ่งในสองอำนาจใดมามีบทบาท บางคนไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่า อำนาจนี้มีลักษณะเป็นอย่างไร ท่านให้อรรถาธิบาย ก็ลองดูคนเป็นกับคนตายซิ คนเป็นคือคนที่มีอำนาจของวิญญาณอยู่ แม้แต่ลมเบาๆ หรือ มดไต่ ก็รู้สึกได้ สามารถบังคับทุกเซลล์ทุกอณูของร่างกายได้ ละเอียดถูกต้อง แม่นยำกว่าคอมพิวเตอร์ ที่มนุษย์ปลาบปลื้มว่าสุดยอด แต่ยามใดที่ไม่มีวิญญาณ ทั้งหมดของร่างกายก็เหมือนท่อนไม้ ดังนั้น สิ่งที่แสดงความเป็นสัตว์หรือมนุษย์ ก็คือวิญญาณ ใช่รูปร่างภายนอก เราจึงมักได้ยินคำพูด มนุษย์ใจสัตว์ เพราะเหตุนี้เอง พระภูมีสอนว่า สุขทุกข์ภายนอก เป็นของหลอกลวง สุขทุกข์ที่แท้จริงเขาวัดกันที่วิญญาณนั่นเอง โรคที่มารุมเร้า บีบเค้นอวัยวะ ก็เพื่อให้วิญญาณทุกข์ หิววิญญาณก็ทุกข์ มีข้าวกินอิ่ม วิญญาณก็สุข แลด้วยอำนาจของวิญญาณนี้เอง ที่เป็นตัวเปิดประตูให้อำนาจใดอำนาจหนึ่งในสองอำนาจ ที่เข้ามามีบทบาทกับตัวเอง ขึ้นอยู่ความรู้ ความเชื่อ ศรัทธา ที่ตนมี ถ้าเชื่อกิเลสที่เรามี อำนาจกรรม ก็จะเป็นฝ่้ายบงการชีวิตเรา แต่ถ้าเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า เอาเหตุผลที่ท่านสอน อำนาจธรรม ก็จะมีบทบาทกับชีวิตเรา
เมื่อเราเชื่อกรรม ก็จะได้ กรรมลิขิต เมื่อเราเชื่อธรรม เราก็จะได้ ธรรมลิขิต เราเชื่อสิ่งใดก็จะเป็นไปตามนั้น พระภูมีจึงตรัสว่า "ใครทำอย่างไร ได้อย่างนั้น" ดังนั้น เราจึงได้คำตอบ ที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน นั่นคือ ในเมื่อโรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม ความคิดของมนุษย์ในโลก ที่ใช้อำนาจกรรมลิขิต จะหาวิธีที่จะมาแก้โรคย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะความคิดกรรมแก้กรรมไม่ได้นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีทางที่จะมียารักษาโรค หรือ พิธีกรรมใดๆ ช่วยเรารักษาโรคได้เลย หลวงพ่อนิพนธ์จึงพูดเสมอว่า แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ไม่ต้องกลัวใครเขาจะมาทำแข่งกับลูกหรอก เพราะเขาเหล่านั้นไม่ได้ใช้วิธีของพระพุทธเจ้า ไม่ได้นำเอาเหตุผลของพระพุทธเจ้ามาไตร่ตรอง แล้วเอาธรรมมาปฏิบัติ จนเป็นอำนาจ ให้เกิดผลในการรักษาโรคได้
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่หลวงพ่อนิพนธ์ท่านกล่าวว่า ทำไมคนในประเทศที่บอกว่า เป็นเมืองพุทธ มีรูปพระพุทธอยู่เต็มเมือง จึงไม่ประสพผล ก็เพราะไม่เข้าใจว่า พระพุทธเจ้าไม่มีพร ไม่ได้มีอำนาจ ที่ตัวท่าน ตัวท่านตรัสรู้ และมีเมตตามหาศาล แต่ไม่มีอำนาจ ทำให้ใครไม่ได้ อำนาจอยู่ที่พระธรรมต่างหาก ท่านจึงสอนธรรม ให้คนเอาไปปฏิบัติ จนเป็นอำนาจ ทำให้ได้สิ่งที่ปรารถนา ก็คนเหล่านั้น ไหว้ท่าน ขอพร จากท่าน แต่ไม่เอาธรรมของท่านไปปฏิบัติเลย ผลก็ปรากฎอย่างที่เห็น ไหว้ให้ตายก็ไม่ได้ ขอให้ตายก็ไม่ประสพผล ท่านจึงไม่ส่งเสริมให้สร้างวัตถุ ด้วยเหตุนี้เอง
ก็แล้วอำนาจวิญญาณของเราท่าน ควรทำอย่างไร จะกราบพระพุทธขอพรอีกอย่างนั้นหรือ ควรหรือไม่ แม่ชีเมี้ยนจึงบอกหลวงพ่อนิพนธ์ว่า มันเป็นความจำเป็น หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ถ้าท่านจะช่วยคนให้พ้นจากโรค ไม่ว่าจะหลอกล่อวิธีใด หรือจะบังคับ ต้องให้คนเหล่านั้น ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า จึงต้องมีการสวดมนต์ ต้องพูดให้คนไข้ฟัง ซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้เข้าใจเหตุผล ค่อยๆ เอาเหตุผล ของพระพุทธเจ้ามาให้เขา จนเมื่อเขาเข้าใจ และศรัทธา เอาธรรมของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ นั่นแล เขาจึงจะได้พร และได้พบลาภของศาสนา คือ "ความไม่มีโรค"
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอ การเรียนรู้ ทำให้เรารู้เขารู้เรา รู้ว่าโรคมีที่มาอย่างไร และต้องทำอย่างไรจึงจะชนะ ดังนั้น เมื่อเรียนรู้แล้ว คำตอบของผลการต่อสู้ ไม่ได้อยู่ที่แม่ชีเมี้ยน สมุนไพร ธรรมของพระพุทธเจ้า หรือตัวท่าน เพราะสิ่งเหล่านั้น เป็นเพียงตัวช่วย ผลแพ้ชนะ จึงขึ้นอยู่กับ วิญญาณของท่านเองต่างหาก ที่จะเป็นตัวตัดสิน ให้อำนาจใดมามีบทบาท วิญญาณท่านจึงมีอำนาจสูงสุดที่จะตัดสิน ผลแพ้ชนะนี้
วิญญาณที่เอาธรรมของพระพุทธเจ้ามามีบทบาท ผลสำเร็จ คือ นิพพาน หรือ ความไม่มีโรค คนรุ่นก่อนเขาทำให้ดูแล้ว วิญญาณที่ไม่เอาธรรมของพระพุทธเจ้า เอากิเลสมานำ ทำให้กรรมมีอำนาจ มีชูชก มีเทวทัต เป็นรุ่นพี่ ทำให้ดูแล้วเช่นกัน เราจึงเชื่อแล้วที่ท่านตรัส "ไม่มีใครทำให้เราได้ ไม่มีใครทำร้ายเราได้ นอกจากตัวของเราเอง" เป็นจริงแน่แท้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น