วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทานสมุนไพรให้เป็น


สมุนไพรเป็นของธรรมชาติ มาจากต้นไม้ ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นั่นแหละคือธรรมชาติของคนที่มาทานสมุนไพร เปรียบเช่นต้นไม้ ย่อมมีส่วนที่เป็นเปลือก เป็นกระพี้ และเป็นแก่นของต้นไม้

ดังนั้น ท่านจึงแบ่งกลุ่มผู้ทานสมุนไพร ออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรก คือ พวกเปลือก เป็นคนที่มาทานสมุนไพรได้ไม่นาน ก็เบื่อ อาจจะมีสาเหตุหลายประการ อาทิเช่น ทานไม่ได้ เบื่อการรอคอย เบื่อฟัง และที่สำคัญคือ รอคอยผลไม่ไหว ไม่ทันใจ เฉกเช่นยาแผนปัจจุบัน ที่กินปุ๊บหายปั๊บ คนจำพวกนี้เรียกง่ายๆ คือ มาทดลองกิน เมื่อไม่ได้ดั่งใจ หรือไม่สมใจ ที่ตั้งไว้ ก็เลิกไป ท่านมักบอกว่า แม้นเป็นการเสียเปล่า แต่ก็เป็นการให้โอกาสแก่คนเหล่านั้น ดังนั้นการสูญเปล่านี้ต้องทำใจ

กลุ่มที่สอง คือพวกกระพี้ คนกลุ่มนี้ คือกลุ่มคนที่ทานสมุนไพรแล้วอาจจะชอบ หรือพอใจ สามารถยืนระยะได้ แต่เหตุของการไม่ประสบผลของคนกลุ่มนี้ คือการขาดการเรียนรู้ ทำให้เมื่อถึงระยะลงแดง หรือมีอาการที่เกิดจากการคุ้ยอาการของสมุนไพร ทำให้เกิดลังเล และเมื่อได้ฟังคำวินิจฉัยจากหมอ หรือคนรอบข้าง ก็เกิดหวั่นไหว อาจจะไม่ใช่ตัวคนทานเอง แต่เป็นคนรอบข้าง ที่มีบทบาทในการตัดสินใจ ทำให้ความกลัวอันนี้ พาตัวเองกลับไปในมือของหมอแผนปัจจุบัน หรืออาจจะได้ยินสรรพคุณของยาจากหมอว่า รักษาได้ ก็ทิ้งสมุนไพรที่แม้จะทำให้สภาพดีขึ้น กลับไปลองยาเคมีดั่งเดิม คนประเภทนี้ก็พบมาก

ตัวอย่างที่อยากเล่า คือ เจ้าของห้างดัง ที่ก่อนมาทานสมุนไพร นอนอยู่ในห้องไอซียู มีคนแนะนำลูกชายให้ลองนำสมุนไพรไปกรอกตามสายเพราะทานไม่ได้ จนฟื้นขึ้นมา และมาพักฟื้นที่มูลนิธิอยู่สองสามเดือน กลับมาขับรถได้ อยู่มาจนหกเดือน อยู่ในสภาพที่ช่วยตัวเองได้สบาย ครั้นเพื่อนเป็นหมอกลับจากเยอรมันมาพบ และบอกว่า มียาคีโมตัวใหม่ ราคาเข็มละแสน คอร์สนี้ใช้ 30 เข็ม อาจารย์หมอรับรองว่าหายแน่นอน จึงขออนุญาตหลวงพ่อนิพนธ์ ลาไปหนึ่งเดือนเพื่อเข้าคอร์ส ผลที่ปรากฎ ท่านนี้ก็เสียชีวิตไป ในเข็มสุดท้ายที่ฉีด เพราะทนคีโมทำลายไม่ไหว ตัวอย่างนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลัง

อีกตัวอย่างที่อยากเล่า ถ้าท่านไปมูลนิธิไทยกรุณา จะเห็นผู้พันอาวุโสท่านหนึ่ง ภรรยาเป็นครู ตัวท่านเป็นโรคหัวใจรุนแรง เมื่อเริ่มมาทาน หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเล่นๆ ว่า เมื่อลงแดงตัวจะเขียว ลมหายใจโรยริน เหมือนจะตาย ทั้งคู่ก็รับทราบ จวบจนเวลาผ่านไปเป็นปีในการทานสมุนไพร วันลงแดงก็มาถึง ท่านผู้พันมีอาการดังเช่นท่านกล่าว ภรรยาเห็นก็ตกใจ ด้วยความรัก และกลัวสามีตาย จึงเรียกรถพยาบาลมา เพื่อรับท่านผู้พันไปโรงพยาบาล  แต่คำที่ออกจากปากท่านผุู้พัน ยืนยันหนักแน่น คือ ห้ามภรรยาพาเขาไปโรงพยาบาลเด็ดขาด ตายเป็นตาย หลังจากนั้นผ่านไปเป็นหลายชั่วโมง อาการของท่านก็เริ่มฟื้นกลับมาเป็นปกติ

คนกลุ่มที่สาม ที่ท่านเรียกว่าเป็นแก่นของต้นไม้ คือกลุ่มคนที่ประสพผลจากการทานสมุนไพร คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มักเป็นคนประเภทหลังพิงฝา คือ หมอไม่รับรักษาแล้ว ทำให้มีมานะในการทาน เพื่อรักษาชีวิตรอด ทำทุกอย่างที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน พยายามเรียนรู้ และเดินตาม ดังนั้น คนกลุ่มนี้จึงมีเอกลักษณ์ คือ ใช้สมุนไพรล้างโรค และทำกิจกรรมที่เป็นบุญล้างกรรม หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า บุคคลเหล่านี้ เมื่อทำตามคำตรัสของพระภูมิ เขาจึงได้พบปาฏิหาริย์ของธรรมชาติ เมื่อมาเรียนรู้วิธีที่ถูก ได้รับสมุนไพรที่ถูก และทำถูก ผลถูกจึงเกิด สิ่งที่ใครว่าเป็นไปไม่ได้ ก็เป็นไปได้

เคล็ดที่สำคัญ ที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน เพื่อใช้ในการสร้าง ศรัทธา และ ความมีมานะอดทน ที่จะทานสมุนไพร และทำความดี นั่นคือ การสร้างสติให้อยู่ในธรรมหมวดกตัญญู สิ่งนี้มีอยู่เป็นทุนเดิมของคนไทยอยู่แล้ว ถ้าเราสามารถสร้างสติขึ้นมาว่า เราควรจะกตัญญูต่อแม่ชีเมี้ยน กตัญญูต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กตัญญูต่อสมุนไพร กตัญญูต่อหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วใช้สตินี้ เพื่อสร้างความศรัท่ธา และมานะอดทน เพื่อต่อสู้กับอาการที่เกิด เพื่อให้สิ่งที่ท่านสอนและทำให้ไม่เสียเหล่า จิตกตัญญูอันนี้ จะทำให้เราประสพผล ได้อย่างแน่นอน

หากขาดจากจิตกตัญญูแล้วไซร้ การทานสมุนไพรก็ยากที่จะประสพผล หรือแม้ประสพผล ก็มักจะเป็นไปในรูปหนีเสือปะจรเข้

อยากยกตัวอย่างที่เราเห็นให้พิจารณา ในอดีตมีพระรูปหนึ่งซึ่งติดเชื้อเอดส์ ชนิดรุนแรง คือมีพิษทำให้ร่างกายเหมือนคนถูกไฟไหม้ทั้งตัว ท่านเรียกพระรูปนี้ว่า พระจัน เพราะท่านมาจากจังหวัดจันทบุรีนั่นเอง ท่านบอกพระรูปนี้ว่า เราจะรักษาท่านแต่ขอให้ท่านมาบวชในหลักของแม่ชีเมี้ยนตอบแทนเป็นเวลา 3 ปี  พระจันรับคำ ท่านจึงบอกว่า เราจะทำสมุนไพรสูตรพิเศษให้ท่าน เป็นสูตรที่แม่ชีเมี้ยนตรัสว่าใช้กับโรคเอดส์โดยเฉพาะ เพียงแค่สิบห้าวัน ท่านจัน กลับมาปกติ ไม่มีวี่แววของเนื้อไหม้อีกเลย ทั้งยังมีกำลัง สามารถออกธุดงค์ได้พร้อมคณะ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เมื่อท่านจันคิดว่า อาการของท่านกลับเป็นปกติ จึงคิดเบี้ยว หลวงพ่อนิพนธ์ท่านก็ไม่ว่าอะไร ท่านจันจึงลาไปจำพรรษาที่วัดแถวบ้านท่าน ผ่านไปหกเดือน มารดาของท่านจัน มาแจ้งหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ท่านจันเสียแล้ว หมอวินิจฉัยไม่พบเชื้อเอดส์ แต่เสียชีวิตด้วยไตวาย น้ำท่วมปอด เราหวังว่า อุทาหรณ์นี้คงให้อะไรบ้างไม่มากก็น้อย เราจึงเชื่อที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอๆ ว่า แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า สมุนไพร สูตรของพระภูมี มีวิญญาณ ไม่ต้องกลัวว่า ใครจะมาหลอกทาน เมื่อดีแล้ว จะกลับไปทำความชั่วเหมือนเดิม คงเป็นไปไม่ได้ เพราะสมุนไพรของท่าน ส่งเสริมคนดี

คำเดียวสั้นๆ ที่จะทำให้เรารอด จึงไม่มีอื่นใด นอกจาก "ความกตัญญู" และผลที่เป็นรูปธรรม ของแก่น ย่อมต้อง "เป็นคนดี" สนองคุณ แม่ชีเมี้ยน สนองคุณพระพุทธเจ้า สนองคุณสมุนไพร สนองคุณหลวงพ่อนิพนธ์ สนองคุณแผ่นดิน นั่นเอง แม่ชีเมี้ยนจึงเรียกทางสายนี้ว่าเปรียบเหมือน "ไม้ไผ่ลำเดียว" ที่จะใช้เดินหนีกรรม

ท่านจึงกล่าวว่า สิ่งนี้เปรียบเหมือนชนักปักหลัง สำหรับผู้ทานสมุนไพร วันใดที่ท่านหวน นำนิสัยเดิมมาใช้ กรรมจะหวนคืนมาหาท่าน แม้ไม่ใช่เสือตัวเดิม แต่ก็เป็นจรเข้ ที่มาพรากชีวิตท่านได้เช่นเดียวกัน สมุนไพร จึงเหมาะกับคนที่ซื่อสัตย์ ไม่คดในข้อ หรือ ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก นั่นเอง ทำผิด เพราะไม่รู้ ยังพออภัย แต่เมื่อเรียนรู้แล้วยังทำอีก คงไม่มีโอกาสครั้งที่สองเป็นแน่แท้ เราจึงไม่เคยเห็นคนที่พ้นโรคตายครั้งหนึ่งแล้ว จะมาหายจากโรคตายอีกครั้งด้วยสมุนไพร และเราก็ยังไม่เคยเห็นโรคร้ายใด ที่ธรรมชาติรักษาไม่ได้เช่นกัน

1 ความคิดเห็น:

  1. คำเดียวสั้นๆ ที่จะทำให้เรารอด จึงไม่มีอื่นใด นอกจาก "ความกตัญญู"
    ชอบ/ ถูกใจมากค่ะ

    ตอบลบ

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44