หากแต่ปาฏิหารย์ ของมนุษย์ ไม่มีจริง ล้วนแล้วแต่กรรมบันดาล ทั้งหมด ทั้งปวง อำนาจกรรมทีทำมาต่างหาก มีผลต่อมนุษย์ เป็นพรหมลิขิต ที่เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองให้มนุษย์ผู้น้้นอยู่จนครบอายุขัย
หลวงพ่อนิพนธ์ อุปมาให้เห็นชัด คนผู้หนึ่งเป็นโรค รักษากี่หมอ กี่หนทาง มาเป็นระยะเวลานาน ยังไงก็ไม่หาย ไม่ว่ายาถูกยาแพง ยาหมอผี หรืออะไรก็ตาม วันหนึ่งกรรมที่บันดาลโรคก็หมดไป บังเอิญคนผู้นั้น ไปพบสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือทำสิ่งใด วันรุ่งขึ้นกรรมหมดหายโรคที่เป็น ก็จะยึดว่่าสิ่งที่ทำ สิ่งที่พบ เป็นตัวทำให้หายโรค มีอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ ทำให้โรคที่เป็นมานานหายไปได้ กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคนผู้นั้นขึ้นมาทันที หากเป็นหมอ ก็หมอเก่ง หากเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ ก็ศักดิ์สิทธิ์เหลือหลาย หากเป็นสมุนไพร ก็เป็นสมุนไพรดี แต่แท้จริงแล้ว คนผู้นั้นหมดกรรมชั่ว เดินมาถึงปล้องกรรมดี เพื่อให้ดำรงพรหมลิขิตได้ต่างหาก
อุปมาต่อมา เหมือนคนประสพอุบัติเหตุ ไม่น่ารอด แต่ก็รอด รีบค้นดูใหญ่ว่า ผู้นั้น สวมใส่อะไร กลายเป็นมีของดี ... ช่วยคุ้มครอง ช่างศักดิ์สิทธิ์เหลือ ปาฏิหารย์มากมี ช่วยลูกช้างเอาไว้ ...
วันหนึ่งเมื่อเดินทางมาถึง กรรมดลบันดาล โรคตาย อุบัติเหตุตาย คนผู้นั้นก็ยังทำเหมือนเดิม ศรัทธาเหมือนเดิม พกของดีเหมือนเดิม แต่ไม่รอด
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า พระภูมีทรงสอนว่า ในโลกนี้ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่สิ่งเดียว นั่นคือ กรรมศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นผู้รักษาให้เราท่านอยู่จนครบพรหมลิขิต ผู้ใด อะไร จะมาทำลายไม่ได้
มิฉะนั้น นึกอยากฆ่าคนนั้น คนนี้ ก็ทำตามใจ มั่วกันไปหมด นี่แหละจึงมีแคล้วคลาด
หากแต่เมื่อถึงวันเวลา โลกนี้ก็เปิดโอกาสให้อำนาจที่ ๓ ไม่ใช่อำนาจ กรรมดี กรรมชั่ว มาวุ่นวายในโลกได้ จึงเรียกอำนาจนี้ว่าอำนาจนอกโลก นั่นคือ อำนาจของศาสน์นั่นเอง หรือที่คุ้นกันว่า อำนาจธรรม นั่นเอง
บุคคลที่เป็นผู้ถือ หรือ เจ้าของอำนาจ จึงถูกขนานนามว่า "มนุษย์เหนือโลก" ความหมายที่อรรถาธิบาย นั่นก็คือ ต้องทำตนจนหมดนิสัยโลก มีแต่นิสัยธรรม ไม่สร้างกรรมมาเป็นอำนาจแก่ตนอีก นั่นคือ พระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้า ไม่ได้สร้างอำนาจ ไม่ได้สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรืออำนาจธรรมขึ้น สิ่งนี้มีอยู่แล้ว สิ่งที่พระพุทธเจ้าทำก็คือ สร้างคุณสมบัติ ทำตนมารองรับอำนาจ จนมีสิทธิ์ใช้อำนาจธรรม
นิทานถ้ำกระบอก ที่แม่ชีเมี้ยนมักนำมาเล่าสอน อันเป็นนิทานศาสนา นั่นก็คือ นิทานศาสนา ย้อนเล่าประวัติของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะในสี่ยุคอดีตที่ผ่านมา นับตั้งแต่ท่าน กุสันโธ โคนาคม กัสปะ และ โคดม
ความตอนหนึ่งที่แสดงให้เห็น นั่นคือ ก่อนที่บุคคลเหล่านี้จะมาทำตนเป็นพระพุทธเจ้า ย่อมต้องเห็นปาฏิหารย์ของศาสนา ก่อน จึงเกิดความเชื่อมั่น
หากแต่ปาฏิหารย์ที่เล่าลือกันในวันนี้ ล้วนแล้วแต่ต้องแหงนคอ ตั้งบ่า รอบุคคลหรือที่ว่ากันว่าเทวดา ลอยลงมาจากฟากฟ้า แล้วดลบันดาลเสกคาถา ให้สมปรารถนา ... แต่ความเป็นจริง ในศาสนา ปาฏิหารย์ ที่ปรากฎในทุกยุคทุกสมัยไม่เป็นเช่นนั้นเลย
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แม่ชีเมี้ยนทรงชี้ให้เห็นว่า หากทำเช่นนั้น ก็จะไม่ได้ผู้มีปัญญา มาทำตนเป็นพระพุทธเจ้าเลย ดังนั้น ปาฏิหารย์ของศาสน์ที่แสดงให้มนุษย์เห็น ผู้ที่เห็นก็จักต้องใช้ปัญญามองจึงเห็นได้
และที่สำคัญ ปาฏิหารย์นั้น ไม่ได้ลอยมาจากฟากฟ้า หากแต่เป็นปรากฎการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ ในสภาพทั้วไปของโลก พูดฟังง่ายกว่านั้นก็คือ โลกทำไม่ได้นั่นเอง
ปาฏิหารย์จึงเสมือนเครื่องมือคัดกรองมนุษญ์ ว่ามีปัญญาเห็นธรรมหรือไม่ ก็ว่าได้ เพราะผู้ใดเห็นปาฏิหารย์นี้แล้วพิจารณา ยอมรับ ก็จักเกิดศรัทธา แล้วทำตามธรรมคำสอน ผู้ที่มีคุณสมบัติ จึงต้องเป็นผู้ที่เอาเหตุเอาผล นั่นเอง
แผ่นดินที่เราท่านยืนอยู่ ที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนดนั้น จึงกล่าวว่า หากไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีแม่ชีเมี้ยนเกื้อกูล ย่อมทำสิ่งที่ทำอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน นั่นหมายความว่า ทุกเมื่อเชื่อวัน ในแผ่นดินนี้ หากเราท่านมีปัญญาก็จักเห็นปาฏิหารย์มากมาย ปรากฏให้เห็น
แต่ความชาด้านเกินไป ปาฏิหารย์เหล่านั้น กลับไม่สร้างความประทับใจใดๆเลย ไม่ตื่นเต้น ไม่ขนลุก นี่แหละที่เราไม่แปลกใจ ว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์เห็นเราท่าน แล้วจึงขนลุก เพราะปาฏิหาริย์ตรงหน้า กับมองไม่เห็น ไม่สะทกสะท้าน หรือ มีผลต่อพฤติกรรมเลย เรียกว่า บุญมีแต่กรรมบัง
หลวงพ่อนิพนธ์ ยกตัวอย่างง่ายๆว่า แค่ในโลกนี้ มีสถานที่ใด ที่สามารถรวมคนป่วยเป็นจำนวนพัน มาไว้สถานที่เดียวกัน โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือ ทีมแพทย์ ไว้รองรับ ... ในขณะที่แม้นแต่กองทหาร ที่เรียกว่าเป็นหนุ่มแข็งแรง ยังต้องมีเต๊นท์พยาบาลรอเลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงหยิบยกเรื่องราวคนไข้ท่านหนึ่ง ที่สามีป่วยทำให้เริ่มเดินไม่ได้ และต้องนั่นรถเข็น มาถึงวันนี้ ปีที่ ๒๗ ด้วยความเป็นคนมีฐานะ ภรรยาจ้างพยาพาลพิเศษดูแลสามีตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๔ คน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาทำหน้าที่ ผ่านหมอ ผ่านพิธีกรรม ผ่านการรักษาตระเวณไปทั่วโลก จนสองสามปีหลัง สามีบอกลา ไม่ยอมไปรักษาที่ไหนอีก เรียกว่ายอมรับชะตากรรมว่า ชาตินี้คงกลับมาเดินไม่ได้อีก
จนภรรยาได้ข่าวจากเพื่อนเกี่ยวกับหลวงพ่อนิพนธ์ ก็ไปพูดคุยกับสามี สามีที่ปฏิเสธการรักษามาตลอดในช่วงหลัง ฟังแล้วเกิดอยากลอง
วันเวลาผ่านไปไว เผลอนิดเดียว ชายผู้นี้ก็ทานสมุนไพรและทำตามคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ทุกอย่าง จนเดือนนี้เข้าเดือนที่ ๗
สัปดาห์ที่แล้ว ชายคนนี้ เดินมากราบหลวงพ่อนิพนธ์ ไม่ต้องนั่งรถเข็นอีกแล้ว พร้อมกับคำกล่าวของพยาบาลทั้ง ๔ คน ที่ดูแลมาตลอด ๒๗ ปีว่า นี่แหละปาฏิหารย์ที่พวกเธอไม่คิดว่าคนคนนี้จะกลับมาเดินได้อีกครั้ง
คำของแม่ชีเมี้ยนที่สอนหลวงพ่อนิพนธ์ จึงดังขึ้นมาอีกครั้ง "ปาฏิหารย์ของศาสนา ไม่ได้ลอยลงมาจากท้องฟ้า แต่อยู่ติดดิน อยู่ใกล้ตัว หากแต่ต้องใช้ปัญญามอง แล้วจะเห็นว่า สิ่งที่เห็น หากไร้ซึ่งปาฏิหารย์ของศาสน์แล้วไซร้ ภาพนี้มักเกิดไม่ได้ เมื่อปัญญญาเห็น ก็จะซาบซึ้ง ศรัทธาก็จะเกิด"
อยากเจอปาฏิหารย์ ขืนไปอ่านตำรา ตั้งความหวังรอคอย ไม่มีวันได้สัมผัสหรอก และไม่มีทางเข้าถึงอย่างแน่นอน ... ขอให้ตาย อ้อนวอนจนปากฉีกถึงใบหู ก็ไม่มีทางได้
สถานที่นี้แม้ไม่มีพระพุทธเจ้า แต่ก็อุปมาเสมือนหนึ่งสถานีย่อย ที่ให้สิทธิ์ ให้ทำตนตามคำสอน เตรียมรับพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่กำลังจะอุบัติ จึงมีปาฏิหารย์เกิดให้เห็น ...
อยาคิดว่ามีสมุนไพรดี ก็ถ้ำกระบอกตำราก็เล่มเดียวกัน คนสอนคนเดียวกัน มันยังฉิบหายเลย ... เพราะไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม่ชีเมี้ยนเกื้อหนุนแล้วนั่นเอง ... จะหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยากเจอปาฏิหารย์ จะเอาแต่สมุนไพร แล้วเลยธรรมคำสอน ... เป็นไปไม่ได้เลย