แทบทุกตัวคน มักมีความฝันความคิดว่า โรคที่ตนเป็นอยู่นั้น ต้องมีคนที่ช่วยให้หายโรคได้ ทุกคนจึงเสาะแสวงหา
คนที่มีแรงบันดาลใจ ที่จะหายารักษาหรือกรรมวิธีรักษา ด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม ก็มุ่งมั่นค้นคว้าหาหนทางในการพิชิตโรค ให้จงได้
การศึกษาในกระบวนการสู้โรค เสาะหาสาเหตุแห่งการเป็นโรค ก็สิ้นสุดจบลงเท่าที่ตาเห็น นั่นคือ เชื้อโรค หรือ สารใดๆ เท่านั้นเอง แล้วก็หาหนทางพิชิต หรือ กำจัด เชื้อหรือสารนั้นๆ ให้หมดลงให้จงได้
จึงไม่แปลกเลยว่า ทำไม ตราบเท่าทุกวันนี้ มีบุคคลเดียวที่สามารถพิชิตโรค ได้ และกล่าวว่า "ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ" นั่นคือ ทำให้ถึงซึ่งความไม่มีโรคได้ คือ พระพุทธเจ้า
หากจะพิจารณาว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็หลักของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ชี้ให้พิจารณาว่า พระภูมี ไม่ได้มองโรคว่าเป็นโรค มาจากเชื้อ หรือสาร โน่นนี่นั่น แต่มองถึงต้นเหตุที่แท้จริง ว่ามันเกิดจาก "อำนาจกรรม" ทำให้เราท่านเป็นทุกข์ต่างหากนั่นเอง
เมื่อรู้เขา แล้วก็รู้เรา การแก้ไขก็จึงทำได้ถูกจุด มิเพียงแต่หายจากโรค ยังเลยไปถึงการไม่ย้อนกลับไปเป็นโรคอีก ไม่ว่าภพนี้ หรือภพหน้า
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา ไม่เชื่อหรือ ว่าโรคมันติดตัวเราท่านไปได้ ก็ดูคนทั้งหลายที่เกิดมา ยังไม่ได้ทำกรรมอะไรเลย แต่หมอก็วินิจฉัยว่า คนนี้มีกรรมพันธ์ เป็นโรคมะเร็งบ้าง เบาหวานบ้าง .... มิใช่หรือ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้หนทางว่า ทำไมการทำแต่ความดีมันจึงไม่พอ เพราะความดีชนะกรรมไม่ได้ ต้องอาศัย "บุญ" ของพระพุทธเจ้า ที่ซึ่งผู้ที่จะทำได้ ก็ต้องมีนิสัยของพระพุทธเจ้าก่อน อำนาจกรรมที่ทำให้เกิดโรค มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ คือ เป็นโรคมาให้ทุกข์ อำนาจบุญ หากทำจริง มีจริง ก็มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ นั่นคือ ทำให้หายทุกข์ คือ หายโรค นั่นเอง สองอำนาจนี้ ใช้ตามองไม่เห็น หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ต้องใช้ปัญญาพิจารณาจึงเห็นได้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมมูลนิธิไทยกรุณา จึงมีคนหายจากโรคต่างๆได้ ก็คนที่ทำได้ มิใช่เพียงแค่ทานสมุนไพร แต่ต้องมีพฤติกรรม การกระทำ สอดคล้อง เป็นคุณสมบัติ สร้างบุญตามคำสอน จึงช่วยตนได้ แม้นจะมีมากมาย เป็นพันเป็นหมื่น แต่คนทั้งหลายที่เอาแต่สมุนไพร แลไม่ประสพผล มีมากกว่ามาก เป็นแสนคน
ถ้าพูดให้ชัด หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้เห็นว่า คนไม่หาย ก็เขาเห็นที่นี่เป็นโรงทาน แจกสมุนไพร เท่านั้นเอง แต่คนที่หาย เขาจะเห็นที่นี่เป็นวัด เป็นที่สร้างบุญ สร้างทาน บารมี เพื่อช่วยตน เพราะเชื่อในคำสอนที่ว่า "ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตน" ไม่ใช่รอมือแบมือขอ นั่นมันชูชก เขามาเพื่อจะเป็นพระเวสสันดร แม้นจะชั่วครู่ชั่วยาม หนึ่งวันในหนึ่งสัปดาห์ นั่นก็เพียงพอให้หายโรคแล้ว และยิ่งนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เป็นนิสัยใหม่แก่ตนได้ นั่นแลได้ลาภอันประเสริฐ คือ ความไม่มีโรค มิใช่ชูชก ที่หายจากโรคนี้ เป็นโรคนั้น แน่แท้
ใช้ตามอง มองสมุนไพร มันก็เป็นสมุนไพร ใช้ปัญญามอง จะเห็นสัจจะธรรม ของพระพุทธเจ้า อยากจะสุข ต้องทุกข์ก่อนในวันนี้ เช่นที่ท่านอาสิสอน แล้วเตือนตน จะทำสิ่งใด ให้สุขในวันนี้ แล้วทุกข์ในวันหน้าอีกทำไม
นี่แลทำไมสมุนไพรของพระภูมี จึงต้อง ขม เผ็ด ร้อน ...