จึงแปลความหมายได้ว่า การมาทำไมจึงต้องมาฟังผู้สอน ผู้รู้ เพื่อให้ตนของตนได้พิจารณา แล้วนำไปใช้เพื่อช่วยตน
น่าเสียดาย หลายคนที่มา มุ่งแต่รับสมุนไพรเพียงประการเดียว แล้วมุ่งหวังว่าจะช่วยตนได้ด้วยการทานสมุนไพร แม้นว่าไม่ว่ายุคถ้ำกระบอก มาหลวงพ่อนิพนธ์ จนถึงท่านอาสิ ก็ยืนยันมาตลอดว่า การจะช่วยตนโดยการทานสมุนไพรเพียงประการเดียว แม้นจะโชคดีประสพผลหายโรคในวันนี้ได้ แต่นั่นไม่ได้การันตีเลยว่า ชีวิตที่จะดำเนินต่อไปนั้น จะไม่เป็นโรคอื่น หรือมีโรคหวน ไปจนกระทั่งชีวิตจะปลอดภัย จากภัยอันตรายใดๆไม่
แลที่สำคัญท่านอาสิย้ำนักย้ำหนาว่า "การหายโรค ไม่ใช่กิจของศาสนา หากแต่นั้นเป็นของแถมที่ศาสนาให้แก่คนที่มาฟัง พิจารณา เชื่อ แล้วทำตนตามคำสอน ทำตนเป็นคนดีของศาสนาได้ต่างหาก"
ดังนั้น จึงน่าแปลกใจว่า ทำไมหลายคนปรารถนาชีวิตที่สุข แต่กลับไม่อยากฟัง เบื่อหน่ายการฟัง เพื่อให้ตนเข้าใจได้ถูก และจะได้ปฏิบัติถูก มาเพื่อจะพูด ทั้งๆที่บทพิสูจน์ ความเป็นจริง สิ่งที่ตนรู้ ตนพูด หรืออยากพูด อยากคุย ช่วยตนของตนไม่ได้เลย
บทสรุป เมื่อสิ่งที่ตนรู้ช่วยตนไม่ได้ แต่ไม่ฟัง จะมาเพื่อ ... คนมาก็เสียเงิน เสียเวลา และที่สำคัญ ช่วยตนพ้นทุกข์ไม่ได้ คนอยากช่วย คนสอน ก็เสียผล ช่วยคนไม่ได้ ไม่มีใครได้เลยมีแต่คนเสีย ถ้าไม่มา ทั้งสองฝ่ายก็ไม่เสีย ไม่ดีกว่าหรือ เอาเฉพาะคนอยากได้ มาทำให้คนที่ไม่รู้ ได้เห็นว่า คำสอน การปฏิบัติ ของศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ช่วยตนของผู้ปรารถนา อยากทำตน แต่ยังไม่รู้ ไม่เคยสัมผัสได้ เหมือน คุณธานินทร์ อินทรเทพ เหมือนคุณปรียานุช ปานประดับ
ไม่เชื่อ ก็ลองถามตัวเองว่า "บุญ" ที่แท้จริง ทำอย่างไร รู้ได้อย่างไรว่า "มีบุญ" อย่าตอบแบบตำราเขาว่า เพราะท่านทั้งหลายก็ทำตามตำรานั้นมาแล้ว ผลที่เกิด ฟ้องความจริงว่า "มันช่วยตนของท่านไม่ได้" หรือไม่ก็ลองถามตัวเองว่า ... สมุนไพรไพลเหลืองทำอะไรได้บ้าง ทำไมต้องทานหลังอาหาร ท้องว่างทานได้ไหม มีผลต่อส่วนไหนของร่างกาย แลให้ผลเฉียบพลันกับอาการใดของเราบ้าง
แม้นจะรู้แล้วก็ตามเถอะ หลวงพ่อนิพนธ์มักให้สติเราเสมอว่า อย่าแค่รู้ มันไม่พอ รู้แล้วต้องทำได้ เพราะศาสนาของพระภูมี เขาเอาคนทำได้ ไม่ใช่คนรู้ คนรู้มีมากมาย แต่คนทำได้นี่สิ ดังนั้นอย่าแปลกใจเลย ที่โบราณเขากล่าวเรียกคนที่รู้ธรรม แล้วทำได้ ว่าเป็นพวกเหนือมนุษย์ และมีอภิสิทธิ์เหนือคนทั่วไป เพราะทำยาก ที่เห็นได้ชัด นั่นก็คือ "ความไม่มีโรค" เป็นทรัพย์ติดวิญญาณ