ไมว่ายุคไหนๆ นับแต่ถ้ำกระบอกสิ่งหนึ่งที่พบเห็นสำหรับผู้ปฏิบัติ นั่นคือ ไม่ว่าจะทำสิ่งไร ดีสักเพียงไหน ก็มักจะได้คำเตือนสติมิให้หลงในสิ่งที่ตนทำ อันจะนำตนคิดไปว่า ตนดีแล้ว
หลวงพ่อนิพนธ์มักยกตัวอย่างให้เห็นว่า พระมากมายในประเทศไทย หลายรูปที่บวชเข้ามาตั้งใจปฏิบัติ เพื่อตัดกิเลสตามรอยพระภูมี จนถึงวันหนึ่งมีคนพบเห็น ดูวัตรปฏิบัติ แล้วชอบ ทีนี้ก็เริ่มเอาสิ่งที่ตนคิดไปถวาย แล้วก็บอกว่าท่านปฏิบัติดี
พระมากมายเหล่านั้น ก็ทานกระแสความปรารถนาของคนไม่ไหว เคยสมถะ กินอยู่ง่าย ก็กลายมาเป็นสำรับ ต้องสร้างโบสถ์ เมื่อก่อนไม่มีเงินก็มุ่งมั่นในปฏิบัติ นานวันเข้า เงินมากมายมากองให้ ก็กลายเป็นไม่มีเวลาปฏิบัติ ต้องทำกิจโน่นนี่นั่น
ผลสุดท้าย จากเริ่มที่ทำตนให้โยมทำตาม ท้ายสุดกลายเป็นเดินตามความอยากของโยม เสียพระไปมากมาย ไม่เว้นแม้แต่พระถ้ำกระบอก
บทสรุปหลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า เรื่องศาสนาที่จะปั้นแต่งปฏิมากรรมชิ้นเอก คือมนุษย์นั้น กว่าจะเป็นรูปดั่งหวัง เสมือนปูนปั้น ต้องถูกตบถูกแต่ง ไปจนกว่าจะเสร็จนั่นแล จะเอาดีเฉพาะส่วนแล้วก็หยุดหาได้ไม่ คนที่มาทำ จึงมักตกในสภาพ ถูกตำหนิ ไปตลอดทางเช่นนั้นแล เมื่อทำได้จึงจะได้คำชม หาไม่แล้ว ตกร่องเห็นตนดีแล้ว ก็อุปมาขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่เหลาไปเป็นบ้องกัญชาแน่ไซร้
แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสเป็นสติว่าอย่าท้อใจ หลายคนก็บอกว่าฉันเป็นจิตอาสา ทำเหนื่อยมิได้หยุด ใครเห็นก็ชม แต่ศาสนาบอกยังไม่ดี ทำแค่นี้ยังช่วยตนไม่ได้ นั่นแค่กายทำ ควรที่จะทำวาจาแลใจด้วย ชีวิตจึงจะปลอดภัยอย่างแท้จริง
ก็ทำแล้ว รอคำชม จนคิดว่าตนทำดีแล้ว ไหนเลยจะพัฒนาตนขึ้นไปได้อีก ก็ดีแล้วไง แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ
ทำกาย ทำวาจา เหนื่อยแล้วหยุด ก็ไม่เกิดผล หากทำนิสัยได้ แม้นอยู่สถานที่ใดเวลาใด ก็ทำได้ ผลจึงเกิดทุกเวลา แลนิสัยนี้ติดตัวไปทุกภพชาติ
ถ้าทำเพื่อคำชมก็ต้องรอคนเห็น ถ้าทำเพื่อช่วยตน อยู่ที่ไหนก็ทำได้ ทำที่ใดก็สุข คือสุขนิสัยของพระพุทธเจ้า ที่เมื่อทำแล้วรู้แก่ตนว่า สิ่งที่รอเราในวันหน้าคือสุขอย่างแน่แท้ รู้แบบนี้จะเอาสุขนี้ไปแลกกับคำชมไม่ควรเลย
นี่แลแม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า หนทางรอดของมนุษย์ มีทางเดียวคือทำนิสัย การกระทำใดที่ทำแล้วไม่ลดนิสัย จึงยังไม่เข้าเป้าที่จะอยู่ในสถานะ ทำเพื่อช่วยตนได้