หรืออาจจะได้ยินคำสอน ไม่ว่าศาสนาใดๆ ที่บอกตายแล้วก็กลับสู่สวรรค์ หากมีความเชื่อ ความรัก ความศรัทธา
ด้วยเหตุนี้ ด้วยความเชื่อนี้ หลายคนก็มุ่งมั่น ทำตามความเชื่อ ความศรัทธา ให้สูงยิ่ง ที่สำคัญ มองเห็นว่า ความดี ยิ่งทำยาก ยิ่งดี เห็นจากคนไทย ที่มีความเชื่อ สิ่งใดทำได้ยาก อาทิ พระองค์ใหญ่ โบสถ์วิหารหลังใหญ่ สถานที่ที่กว้างขวาง ดูแล้วน่าเลื่อมใส น่าปฏิบัติ จึงแห่แหนกันไปทำ กันมากมาย จนเต็มประเทศ
นี่แหละคือความเชื่อที่น่ากลัว แลห่างไกลความเป็นจริงของพระพุทธศาสนายิ่ง
ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า จุดเริ่มของการทำความดี หาใช่สิ่งที่ไกลตนเช่นนั้นไม่ หากแต่ให้เริ่มที่่พฤติกรรมของตน หรือนิสัยตน ปรับเปลี่ยนให้ถูกตามครรลองคลองธรรมก่อนต่างหาก
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า หลายคนที่มาที่มูลนิธิ มักจะกล่าวเสมอว่า ตนของตน ก็เข้าวัด ทำบุญ ทำทาน ทำทุกสิ่งอย่างที่ตนเชื่อว่าถูก ตามคำสอนที่ได้ฟังมา ตลอดชีวิต ไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ช่วยคนตกยากเป็นนิจสิน บางคนถึงกับบอกว่า ปีหนึ่งก็นับเป็นหลักล้านบาทเลยก็ว่าได้ แต่... ผลที่เกิดกับตน คือ ทุกข์ คือ โรค
หลวงพ่อนิพนธ์พูดในวันงานแม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้คิดว่า แท้จริงแล้ว บุญของพระพุทธเจ้า ไม่ได้อยู่ไกลและทำยาก หากแต่อยู่ที่การปรับเปลี่ยนนิสัยตน
การที่มีคำสอนแบบนั้น ให้เด็กฟัง มันจึงทำให้เกิดความประมาท เพราะไม่รู้ว่า แท้จริงแล้ว หากยังไม่หมดกิเลส ตายแล้วก็ต้องเกิด เมื่อความคิดฝังใจว่าตายแล้วก็ไปสวรรค์ ไปเป็นดาวเสียแล้ว ชีวิตในวันนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องระวังระไวในการใช้ชีวิต ทำในสิ่งที่ตนชอบ แลคิดว่าดี
กว่าจะรู้ตัวอีกที ทุกข์ก็ถึงตัว โรคก็รุมเร้า สุขที่มีก็หายไป ทีนี้ยิ่งสับสน ก็ทำมาเสียมากมาย ทำดีไม่ได้ดี พาลไปนั่นเลย บางทีก็เลยไป ไม่นับถือสิ่งใดแล้ว
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า หากจะใช้ศาสตร์สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงต้องเริ่มที่การทำความเชื่อว่า "กรรมมีจริง" เป็นอำนาจ เป็นเหตุดลบันดาลให้เกิดโรค ไม่ใช่เชื้อโรค นั่นมันปลายเหตุ เมื่อเชื่อแล้ว ก็เป็นเหตุเป็นผลว่า ทำไมต้องทำตนให้หายโรค ก็เพราะ เมื่อยังมีกรรม ก็ต้องไปเกิดรับกรรมอีกนั่นแล การหายโรคในวันนี้ ก็จะเป็นผลให้การเกิดในชาติหน้า ไม่ต้องมีโรคอีก นั่นเอง
เมื่อไม่สอนว่า "ตายแล้วต้องเกิด" หลายคนจึงประมาท ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ นี่แหละมันจึงเป็นเรื่องน่ากลัว และเมื่อมาใช้ศาสตร์สมุนไพร หลายคนจึงไม่ยอมรับ อ้างว่าสมุนไพรดียาดี กินแล้วต้องไม่เป็นอะไร ห้ามมีอาการอะไรมาแผ่วพานให้เป็นวิบาก และต้องหายในเร็ววัน
หากแต่ความเป็นจริง พระพุทธเจ้าชี้ชัดว่า "กรรมทำไว้แล้ว จะปฏิเสธสักฉันใดก็ไม่พ้น" นั่นย่อมเป็นเครื่องยืนยัน ตามที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้สติว่า อยากจะหายโรค จึงต้องใช้ขันติ อดทน ท่องไว้ "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า"
หากแต่เมื่อเจอคนไม่เชื่อกรรมเสียแล้ว ปฏิเสธทุกข์ ศาสตร์สมุนไพรจะวิเศษสักฉันใด ธรรมของพระพุทธเจ้าจะเลอเลิศมีอำนาจสักฉันใด เขาก็ไม่ทำ ไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใดๆ ก็อย่าแปลกใจเลย แม้นมีวาสนามาถึงที่นี้แล้ว คนส่วนใหญ่ จึงไม่ลดกิริยา ไม่สังกัดตน อย่างที่ท่านอาสิบอก นั่นสะท้อนว่า เขาเหล่านั้นไม่เชื่อ "เรื่องกรรม เรื่องเวร เรื่องศาสนา" เมื่อไม่ทำ ผลก็ไม่เกิด คนที่ช่วยตนได้ หรือคนที่ประสพผล ก็เลยยิ่งน้อยกว่าน้อย
แต่ก็มีคนทำได้ หายให้เห็นเดินกันมากมาย ย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่า ศาสตร์สมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน เป็นของจริง .... หากแต่ ... ใครทำ ใครได้ ไม่ใช่หายทุกตัวคน
จึงเป็นคำที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอ "ที่นี่ไม่กลัวโรค กลัวนิสัยของเขามากกว่า"