หลายคนคาดหวัง คาดคิด และเชื่อว่า ยิ่งเห็นวิทยาการที่ก้าวหน้า เทคโนโลยีที่กรอกหูอยู่ทุกวัน ว่าไปถึงขั้นเสตมเซลล์แล้ว ยีนแล้ว โครโมโซมแล้ว ทำให้เชื่อว่า เห็นว่า ในอนาคตอายุขัย ของคนจะยืนขึ้น แลที่หวังกันมากคือ จะไม่มีใครเป็นโรค หรือป่วยตาย
พูดภาษาบ้านๆก็คือ จะมียารักษาโรคทุกชนิดนั่นเอง
นั่นเป็นความหวังมิเพียงแต่บางคน แต่อาจเป็นคนทั้งโลกก็ว่าได้
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เพราะคนทั้งหลายเชื่อว่า โรค มีสาเหตุมาจากเชื้อโรค หรือ การดำเนินชีวิตที่ผิด จึงไม่แปลกที่จะมีความหวังเช่นนั้น
แต่ท่านอาสิ ก็ย้ำนักย้ำหนาว่า ความคิดนั้นผิด เพราะมนุษย์เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น เชื่อในสิ่งที่สัมผัสได้ แต่พระพุทธเจ้า เห็นในสิ่งที่มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ ลึกลงไปกว่ากล้องจุลทรรศน์ใดๆจะมองเห็น ลึกลงไปกว่าอณูของอะตอม สิ่งนั้นคือ "กรรม"
นับตั้งแต่บรมครูแม่ชีเมี้ยน มาหลวงพ่อนิพนธ์ ถึงท่านอาสิ จึงชี้เหตุที่แท้จริงว่า ทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นอะไร หรือเป็นโรค เหตุที่แท้จริง คือ "กรรม" ที่เราท่านทำมานั่นเอง
แลชี้ชัดลงไปให้เห็นว่า หากเป็นกรรมผ่าน โรคนั้นย่อมมีทางรักษาให้หายได้ มียาช่วยได้ เป็นธรรมดา แต่หากเป็นกรรมพัก หรือ โรคที่มาเอาถึงชีวิต หรือ โรคตาย แล้วไซร้ ไม่มีสิ่งใดที่จะรักษาโรคได้เลย เพราะโลกใบนี้ ไม่มีอะไรมีอำนาจเหนือกรรม
พูดฟังง่ายก็คือ โลกใบนี้ ไม่มียารักษาโรคตาย นั่นเอง คนที่อ้างเอ่ย ล้วนแล้วแต่เอาชีวิต เอาความกลัวของคน มาข่มขู่ แล้วค้าชีวิตเท่านั้นเอง บทสุดท้ายกว่าจะรู้ความจริง นั่นก็คือ การเสียทั้งเงิน เสียทั้งชีวิต
ไม่ได้บอกว่าการแพทย์ไม่มีประโยชน์ โลกมีสิ่งนี้ไว้เพื่อเหตุเฉพาะหน้า คือ อุบัติเหตุ อุบัติภัย นั่นแหละการแพทย์เหมาะสมที่สุด ขาหัก ถูกยิง ... จะมาใช้สมุนไพรก็คงไม่ทัน การแพทย์นั่นแหละรวดเร็ว เฉียบขาด ช่วยได้ดี และเหมาะสม
ก็แล้วสมุนไพรของพระภูมีเล่า คืออะไร ยารักษาโรคมิใช่หรือ นั่นคือความเข้าใจผิดพลาดอย่างมหันต์ ด้วยคิดเอง เออเอง เข้าใจไปเอง
สมุนไพรของพระภูมี คือ สารที่ร่างกายจะนำไปใช้ในการฟื้นฟูอวัยวะ ๓๒ ที่ซึ่งทุกคนมี ดังนั้น สมุนไพรจึงใช้ได้กับทุกคน ทุกโรค ไม่จำเป็นต้องตรวจ เมื่อร่างกายฟื้นฟูอวัยวะ ระบบต่างๆกลับมาได้ มนุษย์ก็จะได้สิ่งหนึ่งกลับคืนมา นั่นคือ "ภูมิคุ้มกัน"
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า สมุนไพรจึงเป็นเครื่องลางของศาสนา เป็นของมงคล เพื่อต่อรอง ร้องขอ เวรกรรม เพื่อให้โอกาสแก่มนุษย์ในการกลับตน เป็นคนดี ตามแนวทางศาสนา โดยอ้างว่า คนผู้นี้ ทำไปโดยไม่รู้เรื่องศาสนา เรื่องเวร เรื่องกรรม จึงเป็นคำกล่าวที่ใช้อ้างในการทานสมุนไพร ว่า ปรุงแต่งธาตุทั้งสี่ ของข้าพเจ้า เพื่อมีกำลังได้ทำตนเป็นคนดี ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง
พูดให้ฟังง่ายลงไปอีก ก็คือ ยื้อเวลา ให้โอกาส ให้กำลัง เพื่อสร้างบุญบารมี ไปใช้เจ้ากรรมนายเวร นั่นเอง
จึงเป็นที่มาของคำขวัญของมูลนิธินั่นเอง สมุนไพรล้างโรค บุญล้างกรรม
แล้วถ้ากินอย่างเดียวไม่ทำหล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าใครทำเช่นนั้น ก็คือไม่มีบุญบารมีไปใช้เจ้ากรรมนายเวร ถึงวันหนึ่ง คำร้องขอก็ตกไป เจ้ากรรมนายเวรเขาก็ไม่ยอม ผลก็คือ จักทานสมุนไพรสักฉันใด ก็ช่วยให้หายโรคไม่ได้เลย
เราท่านทั้งหลายจึงได้ยินท่านอาสิสอนทุกครั้ง ปัจจัยแห่งความสำเร็จ นั่นคือ การสร้างคุณสมบัติ สร้างนิสัยของพระพุทธเจ้า เป็นคนดี คือ มีนิสัยให้สุขแก่ผู้อื่น การทานสมุนไพร จึงเห็นผล ทำให้ตนมีโอกาสได้สร้างบุญบารมีใช้ จนหนีกรรม หนีเวร หายโรคอันนี้ได้
สมุนไพร จึงไม่ใช่ยารักษาโรค ไม่ใช่ปลายทาง แต่เป็นเพียงจุดเริ่ม ที่สร้างโอกาส ให้เราท่านทั้งหลายได้มีวันเวลา มีกำลัง มีสติ คิด พิจารณา คำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วทำตาม เพื่อช่วยตน
ท้ายที่สุด คนที่มาทานสมุนไพรนานๆ ก็จะพบทางตัน เพราะทานไม่ถูกตามครรลอง นี่แหละ จึงต้องมีศูนย์ปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา ให้ไปฝึก เรียนรู้ ว่าหากจะทานสมุนไพรแบบเอาผล ที่เฉียบขาด รวดเร็ว ต้องทำอย่างไร การทานโดยไม่เรียนรู้ จึงเป็นการทานแค่ยื้อระยะเวลาออกไปเท่านั้นเอง วันหนึ่งจะพบว่า ถ้าช่วงไหนไม่ได้มา ขาดสมุนไพร อาการจะปรากฎทันที ... แต่จะมีใครเล่า สามารถทานสมุนไพรได้ตลอดไปจนตาย หรือ จะมีคนทำให้ทานจนตาย
นี่แหละ จึงเป็นเครื่องชี้วัดว่า สมุนไพรไม่ใช่ปลายทาง เพราะท้ายที่สุด ทุกคนต้องหาคำตอบแก่ตนว่า จะดำรงอยู่อย่างปลอดโรค โดยไม่มีสมุนไพรได้อย่างไร เมื่อหายแล้ว มิเช่นนั้น ก็จะกลายเป็นวงจรให้เห็นเช่นทุกวัน หายโรคนี้ กลับไปเป็นโรคนั้น หรือ หายแล้วกลับมาเป็นอีก ... แน่ใจหรือ คนทำเขาอยากทำให้ทานอีก
เชื่อหรือไม่ คำกล่าวอ้างที่ว่า "มียารักษาโรค "ก็ไม่ต่างกับคำกล่าวว่า "มนุษย์ไปดวงจันทร์" คือโฆษณาชวนเชื่อ เป็นวาทะกรรมที่มีไว้หลอกเท่านั้นเอง แต่ไม่เคยเป็นจริง