ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559
ยักษ์อาละดิน
ความคลาดเดลื่อนประการหนึ่ง ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม อันเป็นความเข้าใจผิด เนื่องด้วยเห็นการหายโรคต่างๆ ด้วยสมุนไพร แล้วก็กล่าวกันว่า สมุนไพรเป็นยารักษาโรคนั้นๆ
หลวงพ่อนิพนธ์เน้นย้ำเสมอว่า โลกนี้ไม่มียารักษาโรค อันโรคที่ว่า หมายถึงโรคตาย หรือ โรคที่มาเพื่อจบชีวิตนั่นเอง
คำถามที่หลายคนตั้งใจจะมาถาม นั่นคือ เป็นโรคนี้ โรคนั้น ต้องทานสมุนไพรอะไร จึงตกไป ... เราท่านอาจจะไม่ได้รับคำตอบ หรือ ได้ยินว่า สมุนไพร "ไม่ได้รักษาโรคอะไรเลย"
หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบายแยกให้ฟังว่า หน้าที่ของสมุนไพร คือ ฟื้นฟูอวัยวะต่างๆของร่างกาย ให้กลับมาทำงานเป็นปกติ ส่วนหน้าที่การรักษาโรค ร่างกายของมนุษย์ทำได้เองอยู่แล้ว ตามธรรมชาติ
จึงเรียกว่า หมอที่แท้จริง ที่รักษา ก็คือ ตนของเรานั่นเอง โบราณจึงเรียกหลักนี้ว่า หลักตนพึ่งตน
แลด้วยเหตที่อวัยวะทั้ง ๓๒ นั้น เชื่อมประสานถึงกันทั้งหมด การทานสมุนไพรตัวใด หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ผลก็ไม่แตกต่างกัน เพราะท้ายที่สุด ก็หมายมุ่งที่ฟื้นฟูระบบอวัยวะต่างๆ ทั้งหมดเหมือนกันนั่นเอง
สิ่งที่ต่างกันนั่นคือ การเข้าสู่อวัยวะ ส่วนต่างๆ ของสมุนไพร ได้ง่ายนั่นเอง
สมุนไพรมะพร้าว จะมีผลต่ออวัยวะในช่องท้อง สมุนไพรมะกรูด จะส่งผลต่อระบบน้ำเหลือง สมุนไพรน้ำผึ้ง จะส่งผลต่อระบบหลอดเลือด และหัวใจ ก็หมายถึง เข้าสู่ระบบอวัยวะนั้นๆได้รวดเร็ว กว่าชนิดอื่นนั่นเอง
การฟื้นฟูตน นั่นหมายถึง การแข่งขันระหว่าง การทำลายอวัยวะและระบบ จากโรคที่เป็น กับการฟื้นฟูของสมุนไพร นั่นเอง ว่าอย่างใดจะมากน้อยกว่ากัน ฝ่ายไหนชนะก็ได้ไป วันเวลาจึงสำคัญ ปริมาณจึงมีผลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต
สิ่งที่ต้องทำเพียงอย่างเดียว ก็คือ กันไม่ให้เกิดจุดตาย นี่จึงเป็นความจำเป็นที่ต้องมีสมุนไพรที่หลากหลาย ที่ให้ผลเฉียบขาดในแต่ละส่วนของร่างกาย
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น อาทิเช่น น้ำท่วมปอดในขณะนี้ นั่นหมายถึงการขาดอากาศหายใจ หากไม่มาก ก็สามารถรอผลจาก สมุนไพรปอด สมุนไพรมะพร้าว ค่อยๆรีดได้ หากแต่สภาพนี้เหมือนน้ำหลาก ก็ต้องพึ่งหมอดูดออก นี่เรียกจุดตาย เพราะไม่ใช่ตายเพราะโรค แต่เป็นอาการชั่วครั้งชั่วคราว
หรือ คนที่มีเสมหะมาก จะรอยามะนาวออกฤทธิ์ ลดเสมหะ อาจไม่ทัน เพราะตอนนี้ เหตุเกิดแล้ว เสมหะมาจุกลำคอ หายใจไม่ได้ ก็ต้องพึ่งเครื่องดูด ของหมอช่วย หากเสมหะไม่สร้างปัญหาจุกคอ สมุนไพรมะนาว ก็แก้ปัญหาได้ดีกว่าสมุนไพรชนิดอื่น
ดังนั้น หน้าที่หลักของสมุนไพร ก็คือ ทำให้หลักคืออวัยวะใดส่วนหนึ่งแข็งแกร่ง เมื่อนั้น ก็จะค่อยๆ ค้ำจุน อวัยวะอื่นๆ ให้ฟื้นกลับมาได้
ภาพที่เห็นชัด คือ การให้ทานสมุนไพรมะพร้าว หลายคนอาจไม่ได้มีปัญหาช่องท้อง แต่ไตเป็นส่วนที่เลือดผ่านมา แล้วกรองเพื่อขับของเสียออก ถ้าไตดี เลือดที่เวียนกลับไป ก็ดี เลือดดีไปเลี้ยงส่วนใด ส่วนนั้นก็ย่อมดีด้วยเป็นธรรมดา เป็นต้น
ปัญหาประการเดียวก็คือ ยักษ์สมุนไพรเหล่านี้ จะทำงานตามสั่ง หากไม่สั่งก็ขี้เกียจ อู้ หรืออาจไม่ทำเลย
ยิ่งเจ้าบ้านออกอาการรังเกียจ เฉกอุปมาที่หลวงพ่อนิพนธ์ยกมาบ่อยๆ ทานน้ำอัดลม ทานแล้วกัดกระเพาะแต่หน้ายิ้ม ทานสมุนไพร ทานแล้วมีประโยชน์แก่คน กลับหน้าเบ้ ทำท่ารังเกียจ ยักษ์สมุนไพร ก็ยิ่งเบือนหน้าหนี ไม่อยากช่วย
มิเพียงเท่านั้น ยักษ์สมุนไพรเหล่านี้ คำสั่งที่ใช้ มีเพียงภาษาบุญเท่านั้นเอง จึงจะสั่งได้
แลแม่ชีเมี้ยนทรงตรัสเป็นทางแห่งการรอดไว้ว่า "ลดนิสัยเท่านั้นจึงเป็นบุญ" นี่คือ คำสอนของพระภูมี
ความซับซ้อนอันนี้เอง ทำให้เป็นเครื่องยืนยันว่า สมุนไพรนี้คนจะลักเอาไปทำ ก็ไร้ค่า จะลักทานก็ไร้ผล เมื่อมนุษย์ห่างศาสนาเท่าใด เลยภาษาบุญไปไกล ศาสตร์สมุนไพรก็เลือนหายตามไปด้วย เพราะรู้สูตร ทานไปก็ไร้ผล
ใครที่ไหนอวดเก่ง รักษาโรคให้คนนั้นคนนี้ได้ ก็ว่าไป แต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แม้มีบุญญาธิการมหาศาล ก็ยังกล่าวว่า ช่วยใครไม่ได้ มีแต่สอน แล้วให้ไปทำเอง "ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน"
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า โรคจึงไม่น่ากลัว หากเราท่านแก้นิสัยได้ ก็ใช้สมุนไพรฟื้นฟูอวัยวะของตน แลร่างกายตนก็จะแก้ไขโรคที่เป็นได้ ความจริงก็คือ ไม่ใช่ลำพังสมุนไพรแก้โรค การลดนิสัยต่างหาก ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการแก้โรค
คำสอนจึงชัดเจน ว่า ใครน่ะที่จะตอบได้ว่า ตนของเราจะหาย ก็ตนของเรานั่นเอง เพราะเป็นผู้เดียวที่จะสร้างภาษาบุญให้ตน ไปสั่งยักษ์ได้
ใครจะหวังคนนั้นช่วย คนนี้ช่วย อย่าหวังเลย ต่อให้พระพุทธเจ้ามายืนตรงหน้า ก็ช่วยไม่ได้ หากไม่ใช้วินัยธรรม มาสร้างภาษาบุญสั่งยักษ์เอง ใครเขากล่าว สมุนไพรที่นี่วิเศษ ช่วยได้ ... หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า เขามีวงเล็บ เฉพาะผู้ทำวินัยธรรม ลดนิสัยได้ เท่านั้นแล
แลก็ไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมเป็นโรคนั้น ก็ทานแบบนี้ เป็นโรคอื่น ก็ทานแบบนี้ ... ก็ไม่ว่า คนนั้น หรือ คนนี้ ล้วนมีอวัยวะเหมือนกันนั่นเอง