ภาพที่เห็นซ้ำ จนไม่มีใครถาม ทำตามอย่างเดียว นั่นคือ การไปร้องขอจากผู้อื่น แล้วก็ถูกบอก ถูกสั่งให้ทำตาม หากอยากได้
อยากได้ปริญญา ไปเรียนอนุบาล ประถม มัธยม แล้วเข้ามหาวิทยาลัย สอบผ่านก็รับปริญญาไป ทุกคนก็ทำไป เร่งเร้าให้ลูกหลานทำไป ไม่เคยถามเลยว่า ไม่เรียนอันนี้ ได้ไหม อยากได้ปริญญาตอนสิบขวบเลย ได้ไหม ไม่เคยมีใครแตกแถว ยอมรับกติกา แล้วทำไป
มีอาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ หรือป่วย ไปหาหมอ หมอบอกต้องพักเท่านั้นวัน ต้องทานยาเท่านี้เม็ด แค่นี้มื้อ จัดไป ทำไป ทั้งๆที่ไม่เคยบอกเลยว่า ทำแล้วกี่วันหาย หรือ รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ หายแน่นอน ก็ทำไป รอจนกว่าจะหาย ตามสั่งเป๊ะ
ไปติดต่อราชการ ยิ่งต้องนั่งตัวลีบ รอเรียก รอสั่ง เพราะเขามีอำนาจ
หลวงพ่อนิพนธ์ ย้อนให้เห็นว่า ในเรื่องทางโลก ทุกคนยอมรับกติกา แต่พอเวลามาใน ทางธรรม ทีทุกคนมาหา เพื่อพึ่ง บรรเทาทุกข์ หรือ ปลดทุกข์ ที่มีกับตน เราท่านกลับไม่เอากติกาเลย
มาถึงก็บอกก่อนเลย ทานสมุนไพรแล้วกี่วันหาย
โอ๊ย ฉันมาทานสมุนไพร ทำไมต้องมานั่งสวดมนต์ ทำไมต้องมาให้ทำโน่นทำนี่ เสียเวลา คนมาแล้วก็รีบๆแจกไป จะได้ไปทำมาหากิน
บ้านฉันอยู่ไกล งานก็เยอะ ให้มาทุกอาทิตย์ ไม่ไหวหรอก ทำไมไม่ให้เยอะๆ เดือนนึงมาครั้ง จะได้ไม่เปลืองเงินเปลืองทอง สงสารคนไม่มีตังค์บ้างสิ แถมมาแล้วจะให้ซื้อนั่นซื้อนี่
ทำไมไม่ทำสถานที่ให้ดีๆ สะดวกสบาย ห้องน้ำ ห้องท่า แล้วก็ที่นั่ง ติดแอร์ นั่งสบายๆ ไม่ได้หรือ คนป่วยน่ะโว๊ย ให้มาลำบาก เดินไปโน่นไปนี่
ทุกคน มีข้อแม้หมดทุกกรณี กำหนดกฎเกณฑ์ และความต้องการของตนเอง
ทางโลก แม้นแต่บรรเทาปวด หรือหยุดปวด ยังช่วยไม่ได้ เราท่านจึงมา แต่ทุกคนยอมปฏิบัติตามกติกาเป๊ะ เมื่อมาถึงแผ่นดินธรรม ไม่เคยถาม ไม่เคยอยากรู้ ว่ากติกาเป็นเช่นไร ต้องทำอย่างไร เล่นกันตามนิสัย และก็ต้องทำให้ความอยากตนสมประสงค์ด้วย มิฉะนั้น เฉ่งแหลก
แลปทสรุปที่ทุกคนตั้ง เป็นบรรทัดฐาน กับ แผ่นดินนี้ แต่ไม่เคยตั้ง กับที่อื่นใดเลย นั่นคือ ทานสมุนไพรแล้วต้องหาย ต้องดีขึ้น โดยไม่สนรายละเอียดอื่นใดเลย ว่า กระบวนการฟื้นฟูตน ที่สำเร็จ เขาต้องทำกันอย่างไร
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า ทางโลก ไม่ว่า หมอ ลัทธิพิธีกรรม ความเชื่อใดๆ ล้วนช่วยตนไม่ได้ แต่ทุกคนยอมทำตามกติกา ยอมเป็นผู้ตาม แต่เมื่อาเจอศาสนา ช่วยตนได้ ทุกคนทำตรงข้าม ไม่สนกติกา และก็จะเป็นผู้กำหนดเอง จะเอาอย่างงั้น จะเอาอย่างนี้
หากแต่ความจริง คนที่จะประสพผลสำเร็จ ก็ต้องมีธรรมเป็นผู้นำเดิน หรือตัวแทนธรรม เป็นผุ้กำหนดให้ทำ จึงจะยังผล
เราจึงอยากจะเตือนว่า "ศาสนา เขาไม่มาตอบสนอง นิสัย กิเลส ความอยาก ของเราท่านหรอก"
พระภูมี ไม่เอาธรรมของท่าน มาเป็นขี้ข้า แลศาสนา ก็ไม่ได้เป็นหนี้ท่านมาแต่ชาติปางใด อย่างเก่งก็แค่ข้าวในบาตร ของพระภูมีและสาวก เท่านั้นเอง
คนมาหาศาสนา จะประสพผล ย่อมต้องเป็นผู้ที่ยินดี แล้วจึงมา ฟังเหตุผล พิจารณา แล้วจึงให้ธรรมนำตน เพื่อยังผล
มาแล้วไม่ลด หาความสงบ อันเป็นเอกลักษณ์ของศาสนาไม่ได้เลย ไม่มีที่เว้น เพื่อควบคุมนิสัยอันใดเลย หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า การมาก็เสียเวลาเปล่า เสียเงินเสียทองเปล่า เสียทั้งคนมา และเสียทั้งคนให้สมุนไพร .... สรุปแล้ว มาทำไม ไปหาที่อื่นที่นิสัยตนเองชอบไม่ดีกว่าหรือ สมุนไพรก็เก็บไว้ให้คนที่อยากได้ อยากทำตน อยากหาย
เวลาตาย ก็จะได้ไม่มีข้อครหา ซึ่งกันและกัน ไม่ชอบก็ต่างคนต่างไป ในที่ตนชอบ จะมาฝืน ถึงเวลา ความจริงมันก็ฟ้อง ใครไม่รู้ ก็บอกว่า ดูซิคนนี้ไปทานสมุนไพร ทานจนตาย ไม่เห็นหาย .. ทั้งที่ผู้พูดไม่รู้เลยว่า คนที่ตายเขามีพฤติกรรมเยี่ยงไร
ฉะนั้น จะให้ศาสนา มาตามนิสัยเราท่าน คงเป็นไปไม่ได้ อยากหายโรคไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะสาหัสสักเพียงไหน หลวงพ่อนิพนธ์ทำให้เห็นมามากมาย ปัญหาอยู่ที่ตนของเรา พฤติกรรมที่ทำ ตามใคร ตามอะไรอยู่ ตามธรรมหาสุข หรือ ตามกรรมหาทุกข์ ผลมันย่อมรุ้แก่ใจตน ว่าเลือกเดินทางใด
นี่แลศาสน์จึงเรียกว่า เป็นศาสตร์ที่รู้ได้เฉพาะตน เพราะตนเท่านั้นแลรู้ดี ว่า ตนของตนนั้นเดินตามอะไรอยู่ หายไม่หาย ไม่ต้องถามใคร ตนของตนมีคำตอบให้ตน ตั้งแต่เริ่มแล้ว