จึงไม่แปลกเลยว่า ทำไมบางคนไม่เคยร่ำเรียนเลยในชาตินี้ แต่ทำได้ หรือที่เรียกกันว่า พรสวรรค์ นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ความจริงอย่างหนึ่งให้เห็น เมื่อถามว่า พระที่มีมากมายกลาดเกลื่อนในประเทศนี้ เป็นพระของพระพุทธเจ้าหรือไม่ พูดง่ายๆ ก็คือ พระแท้ ใช่หรือไม่
คำอรรถาธิบายก็คือ พระพุทธเจ้าและสาวก หรือที่เรียก คนดี คนที่หมดกิเลส นิสัย เขาไปกันหมดแล้ว สำเร็จมรรคผลนิพพาน ก็ไปสถิตย์ยังโลกนิพพาน ไม่มีหลงเหลือในโลกนี้
หากแต่สิ่งที่เราเห็นและทราบกันดี ในอินเดีย หรือที่ต่างๆ ที่มีกันเกลื่อนกลาด นั่นคือ พราหมณ์ และฤาษี มีมากมายหลายสำนัก และถูกหยิบยกมาในพระไตรปิฏกก็มากมี
หากแต่มายุคนี้ คนเหล่านั้นหายไปไหนกันหมด มายุคนี้ ทั้งพราหมณ์ ทั้งฤาษี ผู้ทรงศีล ทั้งหลาย มีน้อยกว่าน้อย
มันก็แปลงมาห่มผ้าเหลืองนั่นแหละ แลนิสัยเดิม ก็เป็นผู้ทรงศีล สอนให้คนทำความดี จึงไม่แปลกเลย ที่คนเหล่านี้ จะกลายเป็นผู้มีคำสอนที่ดี แลมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เพียงแต่ถอดทรงฤาษี ชี พราหมณ์ นักบวชในอดีต มาห่มผ้าเหลืองเท่านั้นเอง
ก็แล้วมันต่างกันอย่างไง กับพระของพระพุทธเจ้า
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกคำตรัสของแม่ชีเมี้ยนให้ฟัง เมื่อครั้งถ้ำกระบอกว่า ความต่างของผู้ปฏิบัติเหล่านี้ นั่นคือ บุญ คนเหล่านั้น แม้นจะห่มผ้าเหลือง บำเพ็ญศีล ภาวนา เช่นอดีตที่ผ่านมา เขาก็หาบุญได้ไม่ สิ่งที่ได้ คือ อายุขัย เท่านั้นเอง
จึงไม่แปลกเลยว่า ผู้ทรงศีลเหล่านั้น ในยามชรา จึงหาพ้นโรคไม่ เพราะไม่มีบุญนั่นเอง
เรียกว่า ดี แต่เป็นดีของโลก ไม่ใช่ดีของศาสนา
นี่แลบัญญัติบุญ จึงเป็นของมีเจ้าของ เป็นของพระพุทธเจ้า อยากจะได้บุญ ก็ต้องเข้าหาพระพุุทธเจ้า เอาธรรมคำสอน มานำตน
ที่สำคัญยิ่ง แต่คนไม่รู้ ก็คิดว่า ธรรมนั้นสามารถแผ่ไปทั่ว แท้จริงแล้วมิใช่เลย การให้ของพระพุทธเจ้านั้น จำกัดวงอย่างยิ่ง มิฉะนั้น จะล่วงละเมิดกรรม
นั่นจึงเป็นที่มาของเขตพัทธสีมานัั่นเอง แล้วกำหนดวันพระ ให้คนที่อยากได้ อยากทำ เดินทางไปในเขตของท่าน รับธรรมแล้วปฏิบัติ จึงจะได้บุญ
ความจริงข้อนี้ปรากฏชี้ชัด หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่า ผู้ที่จะบวชแล้วสำเร็จมรรคผลนิพพานทุกองค์ จะต้องผ่านการบวชและอนุญาตจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้นนั่นเอง ไม่มีสงฆ์องค์ใดที่ไม่ผ่านการอนุญาติแล้วสำเร็จมรรคผลนิพพาน ไม่มีเลย ดังนั้น เมื่อสิ้นสุดพระพุทธเจ้า ก็หมดสงฆ์สาวก เฉกเช่นพระโคดม ก็มีสาวกแปดหมื่นสี่พันรูป แลทั้งหมดก็สำเร็จแล้วก็ไปแล้ว ไม่มีองค์ใดยังอยู่ในโลกนี้
ก็แล้วพระในยุคต่อมาหลังสิ้นพระพุทธเจ้า แม้นจะเป็นสงฆ์ที่พระอรหันต์บวชให้ ก็ไม่มีทางสำเร็จมรรคผลนิพพาน จึงเรียกว่า เป็นแต่เพียง การบวชเพื่อขอนิสัย เท่านั้นเอง
ใครจะบอกว่า องค์นั้นเป็นอรหันต์ ก็ว่ากันไป เพราะถ้าเป็นเช่น นั้น จะบอกว่า ผู้สำเร็จนั้น เป็นสาวกของใคร จะพระโคดมก็ไม่ใช่ เพราะท่านมีแค่แปดหมื่นสีพันองค์ สิ้นสุดเท่านั้น
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ผลแห่งการทานสมุนไพรประการหนึ่ง ก็คือ การทำตนเพื่อรอพระพุทธเจ้ามาอุบัติ แลเราท่านจะได้กราบไหว้ พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ สาวกของพระพุทธเจ้า นั่นเอง
ภาพที่เราท่านจะเห็น แลคนทั่วไปแม้นไม่นับถือ ก็ต้องยอมรับในบุญญาธิการของพระพุทธเจ้า นั่นคือ ไม่มีพระของพระพุทธเจ้าแม้นแต่องค์เดียว ที่เป็นโรค ตาฟ้าฟาง เดินหลังโก่ง ไม่มี ไม่มี ทุกองค์ล้วนสามารถทำกิจธุดงค์ได้ จนวันตาย แม้นบางองค์จะมีอายุเกินร้อยก็ตาม
หลวงพ่อนิพนธ์สรุปให้ฟังว่า บุญหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขามีเจ้าของ ไม่ใช่ที่นั่นที่โน่นก็มี นั่นมันบุญเก๊ วันใดที่ทุกข์มาถึง บุญอันนั้นมันจึงช่วยตนไม่ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิืที่อุปโลกขึ้นมาเอง ก็ใบ้แดก แบะๆ ช่วยตนของเราไม่ได้เลย หากไม่เชื่อ ก็ลองเอามะเร็ง เอาเอดส์ไปถวายสิ เผ่นป่าราบกันหมด ตายเกลี้ยง
แลยืนยันว่า พระไตรปิฏก พราหมณ์มันแต่งขึ้นมา มันจึงมีหมอชีวกพราหมณ์ มารักษาพระพุทธเจ้า เก่งกว่าพระพุทธเจ้านั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า บุญคือ พาหนะที่ใช้พาวิญญาณไปนิพพาน ด้วยเหตุนี้เอง ผู้บำเพ็ญศีล ภาวนา ฤาษี ชีพราหมณ์ หรือนักบวชทั้งหลาย ในโลกนี้ จึงไปนิพพานไม่ได้ เพราะไม่มีบุญนั่นเอง แม้นว่าบางคนสิ่งที่ทำอาจจะเคร่งกว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก
แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า พระพุทธเจ้าจึงทิ้งแว่นส่องจักรวาลให้มนุษย์ได้พิจารณา ว่า สิ่งที่พบเจอคือแหล่งบุญหรือไม่ ก็ให้พิจารณาในสิ่งทีมนุษย์ทำไม่ได้ หรือ กรรมดีแก้ไขไม่ได้ นั่นคือ ความไม่มีโรค นั่นเอง
ก็ด้วยเหตุที่ โรคเป็นบริวารของกรรม แลบุญเท่านั้นแล จึงจะหยุดกรรมได้
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า วันใดที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศตน เพื่อสังคายนาศาสนา พวกฤาษี ชีพราหมณ์ นักบวชทั้งหลาย ที่อาศัยผ้าเหลือง ย่อมต้องถูกเตะกระเด็นออกไป พระกว่าสามแสนรูปในประเทศไทย อาจจะแทบไม่เหลือเลยก็เป็นได้
เราจึงนึกถึงคำบอกของหลวงพ่อนิพนธ์ที่สอนเสมอว่า เรื่องของศาสนา เรื่องของบุญ เป็นเรื่องของวงแคบๆ คนกลุ่มน้อย ไม่เป็นที่นิยม คนทั้งโลกเขามีพรหมลิขิต มีกรรมดี กรรมชั่ว เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองตนอยู่แล้ว ล้วนอยู่ได้โดยไม่ต้องมีศาสนา
ขนาดพระโคดม ที่ทรงเป็นพระพุทธเจ้าที่ฉลาดกว่าองค์ใด พร้อมด้วยประการทั้งปวง สาวกยังไม่ถึงแสนเลย ... พวกที่บอกมีคนนับถือเป็นแสนเป็นล้าน นั่นกรรมเขาส่งเสริม ไม่ใช่ศาสนาแน่นอน ยิ่งไม่มีวันที่จะแผ่ไปรอบโลก ไม่มีทาง
ก็ดูให้ดี พิจารณาให้เห็นชัด จะได้ไม่โมเมว่า ทำไมทำบุญมาตั้งมากมาย ไม่เห็นช่วยอะไรเลย ... ก็ไปทำบุญผิด ทำบุญนึกเอาเองนั่นแล มีแต่ความฝัน มีแต่ลม มันจึงไม่มีตนของบุญย้อนกลับมาช่วยตน กว่าจะรู้อีกที ก็กลับมาบอกคนข้างหลังไม่ได้แล้ว