วงการแพทย์ใช้เวลาศึกษาร่างกายมนุษย์ หรือ ที่เรียกกันว่า กายวิภาค มานานหลายศตวรรษ เพื่อหาวิธีเอาชนะโรค
ท้ายที่สุด ความจริงก็ปรากฎ แต่ไม่ยอมเปิดเผยว่า ทำไม่ได้
หนทางที่พอทำได้ ก็มีเพียงแต่การระงับยับยั้งอาการ หรือ ที่ภาษาทางการแพทย์กล่าวว่า รักษาไปตามอาการนั่นเอง
บทสรุป ทางการแพทย์ ก็พบว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่ใช้ในการรักษาโรค คือ ภูมิของมนุษย์นั่นเอง
และนั่นก็คือทางตัน ของวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่ไม่สามารถหาหนทางที่จะใช้ในการสร้างภูมิขึ้นมาได้ เพราะไม่รู้ว่าที่มาของภูมิคืออะไร
ความเป็นปราชญ์ของพระภูมี ก็ได้ทรงแยกแยะให้เราท่านได้รู้ว่า ภูมิ ก็คือ ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังว่า นี่คือธรรม่ชาติ การเกิดโรค ก็เนื่องมาด้วย ระบบของธาตุทั้งสี่ เสียสมดุลย์ไปนั่นเอง
หลายท่านอาจเคยได้ยิน ในระบบเครื่องยนต์ มีไอดี ไอเสีย เฉกเช่นเดียวกัน ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็มีดี มีเสีย เช่นเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้น มีมาก มีน้อย อีกต่างหาก
หลายคนสงสัยว่า ทำไมคนเป็นโรคอะไร ก็ได้สมุนไพรคล้ายๆ กัน
ก็เพราะบัญญัติสมุนไพร ไม่ได้มีไว้เพื่อแก้โรค หากแต่มีไว้เพื่อปรับสมดุลย์ของธาตุทั้งสี่ ให้กลับมาปกติ แล้วร่างกายก็จะซ่อมสร้างอวัยวะ และสร้างภูมิ ไปต่อสู้กับโรคเองตามธรรมชาติ
ไม่ว่า มนุษย์ ผู้ใด ล้วนมีอวัยวะ ๓๒ ด้วยกันทั้งหมดทั้งปวง ไม่ว่า ชาติใด ภาษาใด ดังนั้น สมุนไพรที่พระภูมีบัญญัติ จึงรอบครอบจักรวาล ใช้ได้กับทุกคน และทุกโรคนั่นเอง
สิ่งที่ฟ้าดินสร้างเพื่อการดำรงชีวิต จึงมีครบปัจจัยสี่ ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพร หรือ อาหาร ที่ใช้ทานเพื่อดำรงชีวิต และที่สำคัญ ฟ้าดิน เขาให้ มีแต่พวกเรามนุษย์นั่นแหละ ที่เอามาขายกันเอง
สิ่งที่อาจจะต่างกันก็คือ อาหาร มนุษย์สามารถคิดค้นสูตรให้ถูกจริตของหมู่ตนได้ และยังให้คุณค่า หากแต่สมุนไพร หาเป็นเช่นนั้นไม่ ถึงรู้ว่ามีสารที่เป็นประโยชน์ ก็หานำมาเป็นประโยชน์ได้ไม่ เป็นความลับ ที่ไม่มีทางสืบค้นเลย
หลวงพ่อนิพนธ์ยกตัวอย่าง ขิง วิทยาศาสตร์รู้ดีว่า มีสารไล่ลม อันเป็นประโยชน์แก่คนที่เป็นโรคลม หากแต่จะนำมาใช้อย่างไรไม่ทราบได้ ไพล เป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการ ทำได้แค่เป็นลูกประคบ หากแต่จะนำไพลเข้าสู่ร่างกาย ก็เป็นเรื่องอับจนหนทาง เพราะหากทานโดยตรง ก็ถ่ายออกหมด ร่างกายไม่ดูดซึม
แม่ชีเมี้ยน จึงไม่ธรรมดา เป็นผู้รู้ ผู้เห็น จึงนำสูตรของพระภูมีมาให้พระถ้ำกระบอกไว้ช่วยคน ไม่ต้องไปลองผิดลองถูก บอกปุ๊บ นำไปใช้ได้เลย และให้ผลที่เฉียบขาด
มันจึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่ร่างกายมนุษย์ไม่คุ้นเคยสมุนไพร เมื่อทานแรกๆ ผลที่เกิดเหมือน ช้างชนกัน ระหว่างสมุนไพรกับโรคที่มี อาการที่เกิดกับคน จึงอาจจะดูรุนแรง เพราะไม่คุ้นชิน บางคนอาจเหมือนนรกแตกเลยก็ว่าได้ หากแต่เมื่อยืนระยะ จนร่างกายคุ้นชิน อาการก็จักเบาบาง จนหายไปเอง
เมื่อรู้ถึงสิ่งนี้ ก็จะรู้ดีว่า ทำไมยาเคมีจึงเป็นอันตรายต่อร่างกายเราท่านมหาศาล เพราะมันไม่ใช่ของธรรมชาติ ร่างกายไม่ยอมรับนั่นเอง ไม่ว่าจะย่อยสลายกากไม่ได้ แถมยังไม่สามารถขับออกได้หมด นั่นก็หมายความว่า มันจะต้องทิ้งตัวอยู่ในร่างกายเราท่านจุดใดจุดหนึ่งนั่นเอง
ยาเคมี จึงเปรียบเสมือนระเบิดเวลาดีๆ ที่ฝังอยู่ในตัว ความรุนแรงก็ว่าไปตามตำแหน่งที่อยุ่ ถ้าอยู่ในที่ไม่อันตรายก็พอไหว หากแต่อยู่ในอวัยวะสำคัญ เช่นหัวใจ สมอง ตับ ... อันนี้แย่แล้ว
หากเราท่านได้มีโอกาสไปศึกษาการทำยาเคมี ก็จะเห็นว่า องค์ประกอบของมัน ก็จะมีหินบดละเอียด เป็นหลัก
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า หินมีคุณสมบัติที่เก็บความเย็น เมื่อฝังอยู่ในร่างกาย ตรงบริเวณนั้น เซลล์ก็จะตาย เพราะขาดอากาศเนื่องจากถูกกดทับ และธาตุไฟจะเข้าไม่ถึง เพราะความเย็น นั่นจึงเป็นจุดเริ่มหรือแหล่งที่เกิดอย่างดีของโรคนั่นเอง
ไม่ต้องแปลกใจเลย เริ่มจากทานยาเคมี แก้ปวดหัว ตามมาด้วยโรคกระเพาะ ต่อด้วยไต ไขข้อ ความดัน เบาหวาน หัวใจ ตับ และมะเร็ง แบบเป็นแพคเกจยกพวงมา ขึ้นกับว่า กากยานั้นจะไปตกตำแหน่งแห่งหนใดในร่างกายนั่นเอง
โบราณจึงว่า เมื่อคนตาย นั่นก็คือ ธาตุทั้งสี่สลาย
นี่จึงเป็นเหตุที่ว่า สมุนไพรสูตรของพระภูมีชุดเดียว ใช้ได้กับทุกโรค และทำไมที่นี่ไม่กลัวโรค ไม่ว่าโรคนั้น ในทางการแพทย์จะว่าร้ายแรงสักฉันใด ก็เพราะรู้สมุฐานที่มาแห่งโรค และมีหนทางแก้ที่พระภูมีทรงบัญญํติให้ไว้นั่นเอง
ที่ไหนที่คุยโม้โอ้อวด ว่ารักษาโรคได้ เชื่อก็ไปเถอะ แต่ที่นี่หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า ไม่ได้รักษาโรค แต่มีสูตรสมุนไพรที่ทานแล้ว ใช้ฟื้นฟูตน แลตนนั่นแลรักษาตน นั่นหมายความว่า หมอที่ดีที่สุดของตน ก็คือ ตนนั่นแล เพราะรู้ดีว่า มีวิกฤตอะไร และต้องใช้อะไรแก้ไข ขอเพียงส่งวัตถุดิบให้ถูกต้องและเพียงพอเท่านั้นเอง
แลที่สำคัญอีกประการ นั่นคือสมุนไพรไม่ใช่อาหาร จึงจำเป็นต้องทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่ ให้ได้ปริมาณตามที่ร่างกายต้องการด้วย
ยิ่งพวกมะเร็ง วิทยากร ท่าน อ.อร่าม มักแนะนำเสมอว่า ช่วงที่ทานได้ ควรทานให้มากว่าปกติ ทำน้ำหนักเผื่อไว้เลย เพราะเมื่อเกิดการลงแดง จะทำให้ทานได้น้อย หรือแทบไม่ได้เลยระยะหนึ่ง ร่างกายจะได้มีกำลังพอสู้กับโรคและอาการได้