ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558
โรค
ความรู้ที่ถูก เมื่อทำผลที่เกิดจึงถูก คือคำที่หลวงพ่อนิพนธ์ย้ำเตือนเสมอ
ปัญหาที่เกิดกับเรา ยังหาตัวตนต้นเหตุของปัญหาไม่เจอ แล้วก็ดิ้นรนแก้ไข ฟังเขาว่า แล้วก็ทำตาม ไม่ว่าคนที่ว่าจะน่าเชื่อถือหรือไม่ แต่เมื่อทุกข์เกิดแล้ว ก็ลองผิดลองถูกไปเรื่อย ดังนั้น แม้นต้นเหตุแห่งปัญหาจะน้อยนิด ท้ายที่สุด เมื่อแก้ผิด ปัญหาก็บานปลายกลายเป็นถึงแก่ชีวิตได้
คำอุปมาที่หลวงพ่อนิพนธ์มักหยิบยก นั่นคือ ร่างกายก็เสมือนรถยนต์ เมื่อเกิดปัญหา ก็ต้องหาช่างที่รู้และชำนาญ การแก้ไขจึงถูกจุดรวดเร็ว ไม่บานปลาย หากเจอช่างลอง มิเพียงเสียเงินเสียทอง ท้ายที่สุดรถก็พัง ร่างกายก็ไม่ใช่หนูทดลอง ลองผิดลองถูก ท้ายที่สุด อาจถึงเสียชีวิตก่อนวัยอันควร มีให้เห็นมากมาย
ยังไม่รู้เลยว่าคู่ต่อสู้คืออะไร ก็หายาแก้ หาให้ตายก็หาไม่ได้ เพราะยาแก้นั่นมันปลายเหตุ และที่หนักกว่าคือ ไม่รู้ว่าเหตุที่เกิด มันเป้นเรื่องของอำนาจกรรม ที่เหนือมนุษย์ หรือ ควบคุมมนุษย์อยู่ จึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่มนุษย์จะหาวิธีแก้ได้
บทเริ่มของการฟื้นฟูตัว จึงควรศึกษาคำสอนที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้พิจารณา นั่นคือ ทำจิตให้สงบก่อน แล้วพิจารณาตนว่า สิ่งที่เกิด แท้จริงมันคืออะไร อย่าตื่นตูม เหมือนกระต่าย แค่มะพร้าวตก ก็ว่าฟ้าผ่า ดินถล่ม โลกทลาย ผลก็คือ วิ่งกระเจิง ดิ้นรนหาทางแก้ หมอโน้นหมอนี้ พิธีกรรมโน่นนี่ ท้ายที่สุด ไม่ได้ตายด้วยมะพร้าวหล่น แต่ตายด้วยแตกตื่นวิ่งไปเจออุบัติเหตุตายแทน
ศาสตร์สมุนไพรของพระภูมี ให้คำจำกัดความของโรค สองประการ นั่นคือ โรคที่เป็นกรรมผ่าน ผ่านมาให้ทุกข์ถึงเวลา ก็ผ่านไป ไม่ได้มาเอาถึงตาย แลโรคที่เป็นกรรมพัก มาเพื่อพัก และเติบโต จนแก่ตาย แล้วก็แสดงอาการทำให้คนผู้นั้น ที่โรคฝังตัวอยู่ตายไปด้วยนั่นเอง
โรคตาย ก็แยกย่อยไปอีกหน่อย นั่นคือ มาแบบมีวันเวลา คือ มาเพื่อให้รับทัณฑ์ทรมานไปเรื่อยๆจนครบเวลา เช่นอัมพฤกต์ อัมพาต ไม่ตายปุ๊บปั๊บ กับแบบที่มาเพื่อจบ เรียกว่าเมื่อรู้ ก็กาวันที่นับวันถอยหลังเลยประมาณนั้น
เมื่อเราท่านสงบใจได้ ไม่ตื่นกลัวโรค ก็ค่อยๆเลือกวิธีที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนมาใช้กับตน
ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นเบาหวาน แลดิ้นรนกระวนกระวายกับตัวเลข อาการที่เสมือนลูกมะพร้าว ก็กลายเป็นตื่นตระหนก ทำทุกทางที่จะให้ตัวเลขค่าเบาหวานลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ เริ่มทานยาควบคุมน้ำตาลในเลือด นั่นคือเริ่มวิ่งหนีลูกมะพร้าว อุบัติภัยที่จะเจอข้างหน้า หลังจากทานยาคุมน้ำตาล ก็เริ่มหลั่งไหลมา
ทานไปนานๆ ไตมีปัญหา สารตกค้างจากยาเบาหวาน ไปทิ้งตัวตามข้อ โรคเก๊าต์ก็เริ่มมาเยือน ... และอื่นๆอีกมากมาย ท้ายที่สุด ไม่ได้ตายด้วยเบาหวาน แต่ตายด้วยโรคอื่นที่ตามเบาหวานมาแทน
ปัญหาเบาหวาน หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า จริงๆแล้วเป็นโรคที่แก้ได้ง่าย แค่ให้โอกาสร่างกาย โดยปรับสภาพการทานอาหารนิดหน่อย ประกอบกับการทานสมุนไพร ไม่นานร่างกายก็สามารถปรับสภาวะน้ำตาลในเลือดสูงกลับมาปกติเหมือนเดิมได้
จุดสำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า โรค มาเพื่อให้ทุกข์ ดังนั้น การแก้ปัญหาโดยมักง่าย ปฏิเสธทุกข์ ไม่ว่าจะด้วยเคมีหรือ วิธีการอื่นใด ย่อมผิดวิสัย ผิดธรรมชาติ นั่นคือ ทำตนเสมือนสร้างเขื่อนกั้นน้ำ ปฏิเสธทุกข์ ต้องปวดหัวครึ่งวัน ไม่ยอม ทานยาแก้ปวด ไม่ให้ปวด ทุกข์ก็สะสมไปเรื่อยๆ ที่นี้มาเป็นมะเร็งเลย
เมื่อโรคมาเพื่อให้ทุกข์ หลักการแก้ไข ก็คือต้องใช้ทุกข์อันนั้น โรคจึงหมดไป นั่นเอง หากแต่หลักสมุนไพร เปลี่ยนหรือไม่รอให้ทุกข์จากโรค รุมเร้าจนร่างกายทนไม่ไหว มาเป็นทุกข์กับสมุนไพร ทุกข์กับกิจกรรม ร้อนในห้องอบ ที่สำคัญทุกข์กับวินัย แทน นี่แหละหนทางนี้จึงไม่เรียกอุตรี
พวกหมอ หรือ เสก เป่า คาถา พิธีกรรม นั่นมันเลี่ยงทุกข์ จึงไม่มีทางรักษาโรคได้อย่างเด็ดขาด หากโรคนั้นมาเพื่อคร่าชีวิต
จะเหลือก็แต่โรคกรรมผ่าน ที่ทำให้หมอ หรือ พวกเสกเป่าคาถา พิธีกรรม มีคุณค่า เพราะเมื่อใช้บริการแล้ว ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือยิ่ง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นชัด โดยอุปมาว่า คนผุ้หนึ่ง มีกรรมที่ดลบันดาลให้ทุกข์ปวดท้อง ระยะเวลาหนึ่ง ช่วงแรกๆ ก็ไปหาหมอ หรือ วิธีการที่ตนชอบ จะไปสักฉันใด ก็ไม่ทำให้ปวดท้องหาย ไปได้ ก็เปลี่ยนไปเรื่อย เรียกว่า เปลี่ยนหมอ เปลี่ยนวิธีการ จนกระทั่งวันสุดท้ายของการปวดมาถึง บังเอิญไปหาหมอ หรือ ทำอะไรก็ตามแต่ เมื่อทำแล้ว ผลก็คือ กลับบ้านมามันหายเป็นปลิดทิ้ง เพราะหมดปล้องกรรมแล้ว จิตก็จะยึดทันทีว่า หมอนี่เก่ง พิธีกรรมนั้นแจ๋ว คำที่ได้ยินบ่อยๆ ก็คือ โรคเราไม่ถูกกับหมอนั้น ต้องหมอนี้จึงจะช่วยได้
วันใดที่ของจริงมา หมอเดิมที่เคยช่วยได้ ทีนี้ก็จะพบความจริง ว่า ช่วยตนไม่ได้เลย
บทสรุป จึงไม่อยากให้มานั่งเถียงกัน เพราะไม่เกิดประโยชน์ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวให้ฟังง่ายว่า หากไม่ใช่โรคตาย ไปเถอะที่ไหนก็ได้ ช่วยได้หมด และอาจจะมียารักษาโรคให้หาย หากแต่ถ้าเป็นโรค คือโรคจริงๆ ที่พระภูมีกล่าวถึง ที่มาเพื่อจบชีวิต อันนี้ ไม่ว่าวิธีการใดๆในโลกที่มนุษย์สร้าง ไม่มีทางแก้ไขได้อย่างเด็ดขาด เพราะต้นเหตุคือ กรรม ที่ทำมา โรคเป็นแค่บริวาร ที่เป็นรูปธรรมของกรรมมาให้ทุกข์เท่านั้นเอง
แต่ที่สร้างเองไม่ใช่โรค นี่ก็อันตรายพอกัน ไม่ว่า ยาเสพติด มะเร็ง หรือ เอดส์ ... ซึ่งบ่อเกิดมาจากพฤติกรรม ฉะนั้น จะไปหวังยารักษา โดยไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย
สุดท้าย กรรมเขาสร้างโรคมาทำไม ... หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นว่า ก็เพื่อหยุดความอหังกาของมนุษย์นั่นเอง อันแสดงให้เห็นความมีอำนาจเหนือมนุษย์ เพราะไม่ว่าจะสร้างเครื่องป้องกันสักฉันใด อยู่ที่ไหน โรคก็ทะลุทะลวงไปถึง ให้ผลอย่างเท่าเทียมกันทุกผู้นาม ตามกรรมที่ทำมา และบีบเค้นมนุษย์ เพื่อให้ไปหาพระพุทธเจ้า จะได้สร้างกรรมดี โลกจึงมีสมดุลย์อีกครั้ง
กรรมจากภัยพิบัติหนึ่ง จากโรคหนึ่ง ... ล้วนเหตุมาจากนิสัยมนุษย์ที่ห่างศาสนา นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมจึงต้องมีพระพุทธเจ้า ทุกยุคทุกสมัย มนุษย์จะได้กลับมาใกล้ศาสนา แล้วเปลี่ยนตนเป็นคนดี โลกก็จะไม่เอียง กลับเข้าสมดุลย์อีกครั้ง ภัยพิบัติก็จะมลายหายไป ฝนตกต้องตามฤดูกาล
หลวงพ่อนิพนธ์จึงย้ำว่า นี่คือเหตุที่ทำไมศาสตร์สมุนไพร จึงจำกัดคุณสมบัติ ใช้ได้เฉพาะกับคนดี ที่นำธรรมคำสอนมาเปลี่ยนตนเท่านั้น
โรคอะไรที่ว่าร้าย จึงไม่น่ากลัวเลย เท่ากับนิสัย เพราะหากไม่เปลี่ยน ต่อให้ธรรมศักดิ์สิทธิ์เพียงไหน สมุนไพรเลอค่าสักฉันใด ก็จะถูกนิสัยคนผู้นั้น แปรสภาพ กลายเป็นของไร้คุณค่า ทานไปก็ถ่ายทิ้ง
แลเมื่อโรคอุบัติ ยิ่งดิ้น ก็เสมือนกระต่ายวิ่งหนีลูกมะพร้าว มีแต่จะเจอภัยที่สาหัสสากรรจ์มากยิ่งขึ้น จนถึงอาจเสียชีวิตทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาเลย ก็มีให้เห็นมากมาย
เป็นโรค จึงอย่าไปโทษโน่นนี่นั่นเลย โทษนิสัยตนเองเถอะ และหากอยากฟื้นฟูตน ก็ไม่ต้องมองไกล มองที่นิสัยตนเองนั่นแหละ แก้นิสัยได้ ก็แก้โรคได้ อย่างแน่นอน
ท้ายสุด หลวงพ่อนิพนธ์จึงเตือนว่า ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน ทำไมเราท่านจึงเชื่อใบประกาศ คำคน หรือ ปริญญา ทั้งที่ไม่มีผลงานอันใดให้เห็นเลย เดินเข้าไปหา หามออกมาทุกราย ก็ยังเชื่อ พูดอะไรก็ทำตาม แต่ที่นี่ หาม่เข้ามา แล้วเดินออกไป มีให้เห็นดาษดื่น พูดแล้วทำไมไม่ทำ จะได้เดินออกไปเหมือนเขา ไม่มีหรอก รอดโดยไม่ต้องทำเอง
พวกหลักหนีทุกข์ โดยไม่ต้องทุกข์ นั่นมันอุตริแล้ว ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ฝันไป นึกเอาเองว่าดี สักพักความจริงก็ปรากฎ