หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเสมอว่า สิ่งที่ทำเป็นการปิดทองหลังพระ เพราะคนที่มาเขาไม่รู้ หรือ ไม่รับรู้ เขาไม่เห็น หรือ เขาไม่ได้คิดจะมอง ดังนั้น ความตกหนักจึงอยู่กับผู้ช่วย เพราะผู้ที่มาให้ช่วยไม่นำพาในการช่วยตน จึงไม่ยอมยื่นมือมา เพื่อที่จะช่วยกัน แถมบางครั้ง ยังทำตนเป็นตุ้มถ่วงอีกต่างหาก จึงยากที่จะช่วย แม้นจะมีใจอยากช่วยสักฉันใดก็ตาม
ประการแรกที่เราท่านไม่รู้ คือ ไม่รู้พรหมลิขิต ว่าจะอยู่ได้นานอีกสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะคนที่ยังไม่สาหัส ดังนั้น จึงตกอยู่ในความประมาท ไม่ยอมทำตน เพื่อช่วยตน ปล่อยวันเวลาเสียเปล่า
ไม่รู้พรหมลิขิตยังพอทน แต่ไม่ยอมที่จะรับรู้ว่า เรือของตนกำลังจม ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนจะจม จะเจอคลื่นลมมรสุมที่หนักหนาสาหัส อันเป็นเหตุให้เรืออัปปาง
เมื่อไม่ยอมรับ เพราะมรสุมยังมาไม่ถึง ตอนนี้ยามที่คลื่นลมยังน้อยอยู่ ไม่เสริมสร้างเรือให้แกร่งก็เสี่ยงแล้ว ยังทำตนให้เรือรั่ว เรือผุอีกต่างหาก นั่นคือ ไม่ยอมทิ้งนิสัยเดิมที่เลวร้าย หรือ หยุดนิสัยที่ร้ายตนลงเสีย
เมื่อยามมรสุมมา จึงต้องอัปปางลง จะมาอาศัยใจช่วยอย่างเดียว แต่ภาพความจริง เรือของตนทนมรสุมไม่ไหว ใจสู้ช่วยอะไรไม่ได้หรอก
ภาพหลังฉากของแต่ละคน คือ ภาพที่กรรมกำลังจะมารุมกินโต๊ะ ในขณะเดียวกัน หลวงพ่อนิพนธ์ก็สอนให้ใช้ ธรรม สร้างบุญ ไว้ล้างกรรม ใช้สมุนไพร ไว้ล้างโรค เป็นเครื่องมือต่อสู้มรสุม
สิ่งที่เราท่านมองไม่เห็น อยู่หลังฉากของแต่ละชีวิต นั่นคือ การฟาดฟันอย่างดุเดือด ของกรรมที่จะมาเอาชีวิต กับการต่อสู้เพื่อยื้อชีวิต โดยมีระยะเวลาเป็นเครื่องชี้ผลแพ้ชนะ ใครยืนหยัดได้มากกว่า ก็เป็นผู้กำชะตะชีวิตของเราท่าน
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังง่ายๆว่า ทุกสรรพสิ่งมีวันเวลา กรรมเขาก็มีวันเวลาในการคร่าชีวิตเราท่าน ขอเพียงเรายืนหยัด ด้วยสองขา คือ ธรรมและสมุนไพร ใช้ต่อสู้ พร้อมด้วยขันติ อดทน และสติ เมื่อถึงเวลา กรรมเขาล้มเราท่านไม่ลง มันก็หมดฤทธิ์ และสลายไป นั่นคือ เราท่านประสพผลในการฟื้นฟูตน
ภาพที่หลวงพ่อนิพนธ์สร้างให้เห็น จึงทำให้รู้ว่า ศาสน์สมุนไพรของพระภูมี มีพื้นฐานความคิดต่างกับแผนปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ที่เน้นการพิฆาตเข่นฆ่า ทำลาย เชื้อโรค จนเลยเถิดกลายเป็นทำลายตน
หากแต่ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จะซ่อมสร้างปราการของเราท่านให้แข็งแกร่งด้วยสมุนไพร ป้องกันการโจมตี จากฤทธิ์ของโรค ที่เราท่านทำไว้แล้ว อันนี้อย่างไรก็ต้องเกิด ยิ่งสงครามใกล้จบ การฟาดงวงฟาดงาของโรค เสมือนรู้ว่าตนกำลังจะตาย กำลังจะแพ้ ยิ่งรุนแรง สภาวะนี้ หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า ลงแดง หากอวัยวะของเราท่านทนได้ ในที่สุดฤทธิ์ของโรคก็จักทำร้ายเราท่านไม่ได้เลย แม้นว่าจะยังคงอยู่ เพราะตอนที่ขึ้นสุดร่างกายยังทนได้ ภูมิยังเอาอยู่ ดังนั้น ตอนอ่อนแรง ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
หลวงพ่อนิพนธ์ขยายภาพให้เห็นชัดๆ ก็คือ การสร้างอุณหภูมิธาตุให้ร่างกาย ในระดับความร้อนที่สูง ยามทานสมุนไพรมะกรูด การเข้ากระโจม การทานสมุนไพรมะพร้าว เมื่อร่างกายคุ้นชิน ยามที่โรคแสดงฤทธิ์ไข้ อุณหภูมิที่โรคสร้าง ก็ไม่สูงเท่าอุณหภูมิธาตุ ที่ร่างกายสร้างภูมิไว้ โรคจึงล้มเราท่านไม่ได้นั่นเอง
หากแต่ ตำราจีนเอ่ยอ้างว่า กองทัพเดินได้ด้วยท้อง ไม่มีเสบียงช้าเร็วกองทัพก็ต้องพ่าย ฉันใดก็ฉันนั้น พระภูมีเป็นปราชญ์ ย่อมเล็งเห็น ภาพนี้ เช่นกัน โรคคือกองทัพ ที่เป็นรูปธรรมของกรรม ฤทธิ์จะมากมาย ย่อมต้องการเสบียงคือกรรม เป็นเครื่องเสริม พระภูมีจึงบัญญัติ "ธรรม" เพื่อล้าง อันเป็นการตัดกำลังกองทัพโรค
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า การทานสมุนไพรอย่างเดียว ทำไมจึงเสี่ยง เพราะไม่รู้ว่ากองหนุนของโรค คือ กรรม มันมหาศาลสักเพียงใด จะต้านไหวหรือไม่นั่นเอง
การปฏิบัติธรรม ด้วยการลดนิสัย บางสิ่งบางอย่างลง ยิ่งทำมาก ก็เสมือนยิ่งทอนกำลังอำนาจกรรม ทอนเสบียงของโรคลง กองทัพโรค ก็ยากที่จะเอาชนะอวัยวะ ที่สมุนไพรได้สร้างปราการอันแข็งแกร่งให้แล้วได้
ศึกยิ่งยืดเยื้อ โอกาสแพ้ยิ่งมาก เพราะอ่อนล้า หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนให้ ตีงูตีให้ตายในคราเดียว และรวดเร็ว มิให้ตั้งตัว
แทนที่จะโดนกรรม เปิดศึกหลายด้าน โรคก็แรง อุบัติเหตุก็แทรก เคมีก็สร้างมลภาวะ นิสัยสร้างกรรมก็เยอะอยู่ มารุมกินโต๊ะกรรม โต๊ะโรคแทน ยิ่งรบนานกองทัพโรคยิ่งแข็งแกร่ง
แนวทางการตายก่อน จึงถูกนำมาใช้นั่นเอง หยุดวันเวลาโลก ทิ้งโลกกรรม มายังโลกธรรม แล้วใช้เวลาที่มีทั้ง ๒๔ ชัวโมง ปฏิบัติธรรม ไม่สนยาเคมี ทำตนให้สุขแก่ผู้อื่น สร้างกองทัพธรรมหลายๆด้าน รุมกินโต๊ะโรค ตอนที่มันยังไม่แข็งแกร่ง ตัดกองเสบียงนิสัยกรรม ไม่ให้ส่งเสบียงเพิ่ม แค่นี้โอกาสชนะย่อมสดใสอย่างแน่นอน
โลกใช้วิธีการเข่นฆ่า ในการรักษา พระภูมีใช้ขันติ อดทน ยอมรับในสิ่งผิดที่ทำไว้แล้ว เมื่อไม่ใช้ก็เสมือนเขื่อนกั้นน้ำไว้ จะกั้นได้นานสักฉันใด ท้ายที่สุดเมื่อน้ำยังทะลักเข้ามา เขื่อนย่อมแตก การใช้ขันติอดทน คือ การระบายน้ำออก การปฏิบัติธรรม คือ การหยุดการทะลักเข้าของน้ำ ในขณะเดียวกันก็ซ่อมปราการเขื่อนให้แข็งแรง และอดทนรอน้ำระบาย
บทสรุปสิ่งเดียวที่แข่งขันกัน ในฉากหลัง และเป็นตัวตัดสินเดิมพันชีวิตเราท่าน หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า คือ วันเวลา
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสสอนว่า การต่อสู้นี้จะเสียเปรียบก็ตรงที่ว่า กรรมเขาเป็นพี่ เขามาก่อน สร้างมานานแล้ว ติดเป็นนิสัย หากแต่ธรรมเขาเป็นน้อง มาทีหลัง ไม่เคยมี หรือ ไม่เคยชิน ต้องสร้างขึ้นมาใหม่ เพราะไม่คุ้นเคย
ฉะนั้น การต่อสู้ที่เข้มข้น เพื่อแย่งชิงชีวิต หรือสาวก เขาจึงให้ธรรมมีอำนาจเหนือกรรม ผู้ใดที่ได้ฟัง พิจารณา แล้วเชื่อ ธรรมคำสอน แล้วปฏิบัติ ยิ่งมีวันเวลามากเท่าไหร่ ทำได้มากเท่าไหร่ จึงไม่แปลกเลยว่า ที่หลวงพ่อนิพนธ์จะกล่าวว่า โรคอะไรก็ไม่น่ากลัว
เพราะเหมือนโรคคืองูเหลือมเจอธรรมคือ เชือกกล้วย นั่นเอง
เราจึงอยากเตือนว่า สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์กำลังบอก นั่นคือ โอกาสในการช่วยตน ไม่ใช่เมื่อไหร่ก็ได้ อย่างไรก็ได้ เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง เห็นคนอื่นทำแบบนี้ได้ ตนก็จะทำมั่ง
ถามตนเองซะก่อน รู้ได้ไงว่า พรหมลิขิตเรามีเวลาเท่าไหร หรือเหมือนเขา จึงจะทำตนแบบเขา
ยิ่งมาทำกิจกรรมนิดหน่อย พอแก้กรรมเล็กๆน้อยได้ พ้นอุบัติภัย รถไม่ชน แขนขาไม่หัก ก็ไม่รู้ว่าอะไรช่วยมา ทะนงตนว่า พรหมลิขิตดี ทำแค่นี้พอแล้วถามว่าทำไมไม่ทำ ดีแล้ว แค่นี้พอแล้ว นี่แหละพระภูมีจึงสอนให้อย่าดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ทำให้เยอะ ทำให้มากเข้าไว้ กันไว้ดีกว่าแก้
โดยเฉพาะโรคตาย ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวว่า เขาขีดวันตายแล้ว ย่อมหมายความว่า วันเวลาเหลือน้อย หากแต่โรคพรหมลิขิตทรมาน เช่นอัมพฤกต์ อัมพาต นั่นมันไม่ใช่โรคตาย คนเหล่านั้นย่อมมีวันเวลาอีกยาวไกล
เวลาในการกอบกู้ก็น้อยอยู่แล้ว มามั่งไม่มามั่ง แถมมาแล้วยังไม่เน้น ยังไม่ทำเพื่อช่วยตน ... นิสัยก็คงเดิมหรือมากขึ้น ต่อให้สมุนไพรของพระภูมีดีสักฉันใด ก็ช่วยไม่ได้หรอก
แม้นแต่พระพุทธเจ้าเอง ยังช่วยใครไม่ได้ ศาสตร์อันนี้ จึงช่วยใครไม่ได้เช่นกัน หากแต่ฟัง พิจารณา แล้วเชื่อ เอาไปทำตาม ช่วยตนของตนได้ อย่ามาโมเม ยามชีวิตอัปปาง แล้วก็โทษ ไหนว่าสมุนไพรของพระภูมีดีไง ทำไมช่วยตนไม่ได้
ความหมายของศาสตร์สมุนไพร ก็คือ การทำให้เราท่านยืนหยัด ยังมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ตายไปตามอายุขัยของโรค ที่ซึ่ง คนทั่วไป เมื่อโรคตาย คนก็ตายตาม เมื่อไม่มีโรค หรือ โรคมันตายไปจากเราท่านแล้ว จึงเรียกว่าหายโรค
ใครหน้าไหนที่อวดอ้างว่ารักษาโรคให้ผู้อื่นได้ ... มันคือ โกหกคำโต ไม่มีหรอก แลยารักษาโรค ก็ไม่มีจริงในโลก ค้นหาให้ตายก็ไม่มีวันเจอ ... มันแค่ความโลภที่ใช้ความกลัวตายของมนุษย์หากินเท่านั้นเอง
อย่างดีสุด ก็แค่โรคกรรมผ่าน ที่มาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้มาเพื่อคร่าชีวิต นั่นแหละจึงมียารักษา หากแต่เป็นโรคมาเพื่อคร่าชีวิตแล้วไซร้ ใครก็ช่วยไม่ได้ นอกจากตนของตนเท่านั้นเอง