เพราะตอนช่วงแรกๆที่โรครุมเร้า ก็อยากทานเยอะๆ พอนานวันเข้า ร่างกายดีขึ้น คำถามนี้ก็เริ่มมีในใจ ยิ่งพอไปตรวจร่างกายแล้ว หมอบอกผลวินิจฉัยว่า สิ่งที่เป็นอยู่นั้น ไม่มีแล้ว
ความคิดที่แล่นเข้ามาในหัว ก็คือ ความเบื่อหน่าย ไม่ว่า จะด้วยภาระที่ต้องมาทุกสัปดาห์ พาลไปจนถึงสภาพที่ตนเองอาจรับไม่ได้ ไม่ว่าสถานที่ สภาพแวดล้อม รวมไปถึงคน
ใจก็คิดว่า ตอนนี้สภาพตนเองก็ดีแล้ว พ้นวิกฤตแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาแล้วก็ได้
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ความรู้จึงเป็นสิ่งจำเป็น ที่ทำให้เราท่านปฏิบัติได้ถูก รู้วิธีการที่จะรักษาตนรอด
สิ่งที่สำคัญ นั่นต้องยอมรับว่า คู่ต่อสู้ของเรา ไม่ใช่โรค แต่เป็นกรรม
ดังนั้น วิกฤตที่แท้จริงของเราท่าน จึงไม่ใช่อาการที่เกิดจากโรค ที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ หากแต่เป็นนิสัยต่างหาก ที่สร้างกรรม ทำให้เกิดโรค ทำให้ทุกข์
ดังนั้น พระภูมีบัญญัติธรรมหมวดสมุนไพร จึงไม่ได้มีจุดมุ่งหมายให้คนหายโรค หรือ ไม่มีโรค อันนั้นมันแก้ที่ปลายเหตุ จึงเป็นเพียงของแถม
หากแต่ธรรมหมวดนี้ จุดมุ่งหมายให้แก้ที่ต้นเหตุ คือ นิสัยกรรม โดยการเปลี่ยนมาใช้นิสัยธรรมบางสิ่งบางอย่างที่จำเป็นแก่ตนแทน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงอรรถาธิบายว่า สมุนไพร จึงเป็นเสมือนเครื่องมือ ที่ใช้ดึงดูดคนทุกข์เข้ามา แล้วให้โอกาสในการเปลี่ยนแปลงนิสัยเพื่อช่วยตน
เมื่อจุดใหญ่ใจความอยู่ที่นิสัยตน ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่ยุติที่สมุนไพร หรือการหายโรค แล้วจบกันไปนั่นเอง
สมุนไพรจึงช่วยได้เพียงระดับหนึ่ง หากกรรมที่ทำมาไม่สาหัสนัก ก็พอไหว สิ่งที่สำคัญคือ หากนิสัยเดิมยังอยู่ ก็จะไปสร้างกรรมใหม่อีก กลายเป็นสิ่งใหม่ที่จะมาใช้คร่าชีวิตแทน
ประเด็นที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้ระวังนั่นคือ กรรมมีอำนาจและรู้ หากรู้ว่าเราเมื่อยามทุกข์ก็จะวิ่งมาหาสมุนไพร ก็ปิดช่อง ไม่มาเป็นโรค ที่เราท่านอาจแก้ได้ และให้ผลช้า ทีนี้มันมาเป็นอุบัติเหตุแทน โครมเดียวจบ ไม่เปิดโอกาสให้แก้ตัวได้เลย
ดังนั้น ศาสตร์สมุนไพร ก็คือ การให้โอกาสเราท่านได้ฝึกนิสัยบุญ นิสัยของพระพุทธเจ้า เพื่อช่วยตนนั่นเอง
ยิ่งเราท่านฝึกนิสัยธรรมของพระพุทธเจ้าได้มากเท่าไหร่ ก็จะทำให้พึ่งสมุนไพรน้อยลงไปเรื่อยๆ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า คนที่รุ้หนทางบุญ ทานยาแก้วเดียว ต่างกับคนที่คิดจะพึ่งแต่สมุนไพร ไม่ควบคุมนิสัยตน ผลที่ได้ ต่างกันราวกับฟ้าดิน
คนที่มีนิสัยธรรม สามารถสร้างบุญได้ทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลา เมื่อทานสมุนไพรจนช่วยตนได้พ้นวิกฤต ที่เหลือของชีวิต ก็ไม่จำเป็นสักเท่าไหร ไปอยู่ที่ไหน ก็ใช้นิสัยธรรม สร้างบุญ เลี้ยงชีวิตตน ปีหนึ่งก็มารำลึกคุณแม่ชีเมี้ยนในวันงาน ทานสมุนไพรสักแก้ว ก็อยู่ได้แบบคนไม่มีโรค
ส่วนคนที่เอาสมุนไพรดันเพียงอย่างเดียวให้พ้นวิกฤต โชคดีก็อาจประสพผล หากแต่ชีวิตก็อยู่บนความเสี่ยงจากนิสัยตน ที่จะทำให้ชีวิตประสพหายนะได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องจากโรคหรอก คนประเภทนี้ ศาสนาถือว่า ช่วยก็เหมือนไม่ได้ช่วย เพราะท้ายที่สุดก็ไปไม่รอด
หากคนผู้นั้นกลัว แล้วก็ใช้สมุนไพรประคองชีวิตตนไปตลอด นั่นคือ ทานสมุนไพรไปตลอดก็ตาม หากกรรมที่เผชิญมันสาหัส สมุนไพรก็ช่วยไม่ไหว
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า การมาสถานที่นี้ แท้จริงคือมาเรียนเพื่อทำนิสัยพระภูมี ไว้ช่วยตน โดยการปฏิบัติสัจจะ ใครที่สามารถทำสัจจะให้เป็นตนบุญได้ ยิ่งทำได้มาก การพึ่งสมุนไพรก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
คนบางคน หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สมุนไพรช่วยไม่ได้ ต้องอาศัยบุญที่ตนทำเพียงอย่างเดียว พูดให้ฟังง่ายคือ "อาศัยบุญเลี้ยง" นั่นเอง
เมื่อสร้างบุญเป็น ไปอยู่ไหนก็ได้ ในโลก
หากเลือกเดินทางด้วยศาสตร์สมุนไพร โดยไม่คิดจะทำนิสัย ก็ต้องกินกันไปจนตายนั่นแล แต่ก็ยากจะประสพผลในบั้นปลาย
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ก่อนมาเราท่านสร้างกรรม ด้วยความไม่รู้เรื่องกรรม และธรรม เมื่อมาแล้ว เรียนแล้ว รู้แล้ว แต่ยังทำอยู่ กรรมในครั้งหลัง ย่อมสร้างด้วยเจตนา ... อันนี้แก้ยากแล้ว