สิ่งหนึ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ในการช่วยตน หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นคือ ความเชื่อ
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสอุปมา "นิสัยมนุษย์ น้ำใสไหนไหลมา ก็ไปตามน้ำนั้น"
หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบายให้ฟังความว่า เมื่อได้ยินได้ฟังคนั้นว่าดี คนนี้ว่าดี ก็แห่กันไปนั่นเอง
ไม่เอาเหตุเอาผล ไม่พิจารณา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็น หมอ เป็นเข้าทรงองค์เจ้า เป็นลัทธิ พิธีกรรม หรือแม้นแต่ต้นไม้ สิ่งแปลกประหลาด ใครว่าดี อยู่ที่ไหน ไกลแค่ใด ก็ดั้นด้นไป
หากแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขามีเจ้าของ และจะมาสถิตย์ในโลกนั้น มีวันเวลาจำกัด ก็เฉพาะที่จะมาเพื่อสร้างพระพุทธเจ้า และพาพระพุทธเจ้าและบริวารที่ทำได้ไปยังโลกนิพพานเท่านั้นเอง
ในยามปกติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะมีเพียงอย่างเดียว นั่่นคือ พรหมลิขิต หรือ กรรมศักดิ์สิทธิ์ หรือ กรรมดี กรรมชั่ว ที่ตัวทำเท่านั้นเอง ที่จะพึงรักษาตัวเราท่าน ให้รอด หรือ ให้ทุกข์ แตกดับไปตามอายุขัย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงย้ำว่า มนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีศาสนา ก็สามารถดำรงอยู่ได้ เพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตน นั่นคือ กรรมศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครอง เป็นพรหมลิขิตอยู่แล้ว ดั่งคำ ไม่ถึงที่ตาย ไม่วายชีวาวาต โรคห่าอะไรจะพิฆาตไม่อาสัญ นั่นเอง
ศาสน์ หรือ ธรรมศักดิ์สิทธิ์ ของพระพุทธเจ้า จึงเป็นเสมือนองค์กรที่สาม ที่ยื่นเข้ามา ให้มนุษย์ที่เบื่อ โลก เกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงปรารถนาทำตน เป็นคนดีของศาสนา เพื่อพัฒนาตน ด้วยตั้งจิตปรารถนา มรรคผลนิพพาน เป็นที่พึ่ง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยืนยันเสมอว่า นอกจากธรรมของพระภูมีแล้ว ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด ที่สามารถชนะกรรมได้เลย
ขยายความให้ฟังว่า นั่นก็คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีกันเกลื่อนโลก ล้วนแล้วแต่เป็นปัญญามนุษย์ที่สร้างขึ้น แลเมื่อปัญญามนุุษย์ มาจากกรรม จึงชนะกรรมไม่ได้ ความศักดิ์สิทธิ์นั้น จึงเป็นการนึกเอาเอง เมื่อถึงเวลากรรมมา มันจึงหยุดไม่ได้ เพราะไม่มีจริง
พระเจ้าจึงมีแต่พระพุทธเจ้า ที่เป็นของจริง ที่เมื่อปฏิบัติตามธรรมคำสอน แล้วมีผลช่วยตนได้ หากแต่พระเจ้าอื่น ไม่ว่า หมอ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ หรือความเชื่ออื่นใด เจอกรรมก็เผ่นป่าราบหมด
ความรู้อันนี้เอง ที่เป็นเครื่องมือที่พระพุทธเจ้าให้มนุษย์ไว้พิจารณา ศาสน์ที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ก็เอามะเร็ง เอาเอดส์ เอาหัวใจ ... ไปถวายพระเจ้าองค์นั้นๆ สิ ดูซิพระเจ้าจะรับหรือเผ่นหนี ช่วยได้ หรือ ไปกี่คนก็ตายหมด
ศาสน์เมื่ออุบัติ จึงอยู่ท่ามกลางลัทธิความเชื่อเหล่านั้น ใครอยากพบ ก็ต้องแหวกความเชื่อ ที่ฝังอยู่ในตนออกมา ทวนกระแสโลก ซึ่งเป็นเรื่องยาก แต่ก็มีคนทำได้
ภาพของศาสน์กับลัทธิความเชื่อ ไม่ว่าเชื่อหมอจริง หมอผี ลัทธิพิธีกรรม จึงแยกเด่นชัด ที่ หลัก "ตนพึ่งตน" นั่นเอง
หลักพระภูมี อยากได้ ต้องทำเอง และมีเพียงหลักเดียวที่เป็นเช่นนี้ ส่วนที่เหลือทั้งหมด ไม่วาเชื่อในหมอ หรือ ลัทธิ พิธีกรรมใดๆ ล้วนแล้วแต่ "ขอ" คือ ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องควบคุมนิสัยตน ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลย
เมื่อมนุษย์ไม่เอาเหตุเอาผล ครั้นมาเจอศาสนา ก็กลายเป็นคนจับปลาสองมือ สามมือ สมุนไพรพระภูมีก็ดี หมอก็แจ๋ว อาหารเสริมก็ดี พิธีกรรมแก้บนก็เยี่ยม
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นจุดตาย นั่นคือ เมื่อผ่านวิกฤตก็ไม่รู้อะไรช่วยตน ผลสุดท้าย สิ่งที่ปล่อยละเลย กลับเป็นศาสน์ที่ช่วยตน เพราะนึกว่าสิ่งที่ตนรอด เพราะทำตามหมอสั่ง หรือ รอดเพราะบนเอาไว้
คาถาที่หลวงพ่อนิพนธ์มักสอนเสมอ คือ คนหลายใจ ไม่ควรเล่นของกายสิทธิ์ เพราะเมื่อถึงยามคับขัน จิตจะสับสน ไม่รู้อะไรเป็นที่่พึ่งแห่งตน คว้าผิด คว้าถูก กว่าจะรู้ชีวิตก็แตกดับไปเสียแล้ว ว่าสิ่งที่ยึดถือ มันไม่มีตัวตน สิ่งที่มีตัวตน ก็ไม่ได้คว้าไว้
คำเตือนจากเรา เวลานี้ ถึงเวลาศาสน์เขาเล่นบทหยิ่งแล้ว เมื่อหมอสั่ง เจ้าพ่อ เจ้าแม่สั่ง เจ้าพิธีกรรมสั่ง มนุษย์ทำตามทุกระเบียด หากแต่ช่วยตนไม่ได้เลย มาวันนี้ เมื่อศาสน์เขากำหนดเขาสั่งบ้าง ใครไม่ทำตาม ถือว่าไม่ใช่พวกเขา
ฉะนั้น ไม่ใช่ไม่เมตตา หากแต่ว่าอยามาให้เสียเวลาตน และเสียสมุนไพรเปล่าเลย ชอบทางไหนไปทางนั้น ศาสน์จะเก็บที่ไว้ให้คนที่เอาเหตุเอาผล ฟัง พิจารณา เชื่อ แล้วทำตาม ไม่มีเวลามาให้กับพวก ลิงหลอกเจ้า มาทำตนหลอกศาสนา เพื่อหลอกทานสมุนไพร อีกต่อไปแล้ว
จึงไม่ต้องแปลกใจ หลังวันงานแม่ชีเมี้ยน พวกลิงหลอกเจ้า จะถูกคัดออกไปเรื่อยๆ คนที่นี่จะน้อยลง จนเหลือแต่ผู้อยากได้ อยากช่วยตน อยากทำตนเป็นคนดี แล้วมาดูผลว่า หายโรคนั้นไม่ยากจริงไหม
คนจำพวก หมอก็ดี เจ้าก็เด่น พิธีกรรมก็เอา ... สถานที่นี้ไม่เป็นไก่รองบ่อน ไม่มีที่ให้อีกต่อไป