วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เทียบปอนด์ต่อปอนด์

หากจะว่าไป แนวทางของโลก ที่ว่าดีที่สุดได้รับการยอมรับที่สุด ก็น่าจะเป็นวงการแพทย์ ที่จัดได้ว่ามีเครื่องมืออันทันสมัย น่าเชื่อถือ ยกเว้นเมื่อเอาไม่อยู่ หมอผี เข้าทรงองค์เจ้า เกจิคณาจารย์ ก็อาจถูกสอดแทรกเข้ามาเป็นตัวเลือก เอาเป็นว่า ให้วิชาการของวงการแพทย์เป็นตัวแทนก็แล้วกัน

ในทางธรรม ต้นสายธาร คือ องค์โลกุตระธรรม มีพระพุทธเจ้าเป็นตัวแทน บัญญัติธรรมหมวดสมุนไพร มาเป็นทางเลือก ให้มนุษย์ได้พึ่งพา ยามประสพปัญหาของชีวิต โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่หวังถึงซึ่งนิพพาน อย่างน้อยก็ได้สัมผัส ความไม่มีโรค

ตัวแทนจากสองฝากฝั่ง คือ ทางโลก กับ ทางธรรม จึงถูกหลวงพ่อนิพนธ์หยิบยกมาเทียบ เพื่อให้เห็นได้อย่างเด่นชัด เพราะทั้งสองล้วนแต่เสนอตัวมาให้เป็นที่พึ่ง ยามที่ประสพปัญหาของชีวิต

เริ่มจากรากฐานที่มาขององค์ความรู้ ... ด้านของโลกก่อน นั่นคือการแพทย์ อาจจะมีความคิดเริ่มต้นจากความเมตตา อยากช่วยเพื่อนมนุษย์ แต่เมื่อหมอ กับ นักธุรกิจ มาเป็นคนคนเดียวกัน ความโลภบังเกิด จากความเมตตา ก็จักกลายเป็น ช่องทางของการสร้างความร่ำรวย จากชีวิตมนุษย์แทน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด นั่นคือ การที่พ่อค้านักธุรกิจยาเวชภัณฑ์ ได้ลงขันจ้างนักวิชาการ เพื่อให้บิดเบือนงานวิจัย และแก้มาตรฐานระดับในการบ่งชี้วัดว่า ผิดปกติ ทั้งในระดับความดันมาตรฐาน จาก ๑๕๐ มาเป็น ๑๐๐ หรือ ระดับของไขมันในเลือด ให้มีเกณฑ์ที่ต่ำลง ผลก็คือ เพียงข้ามคืน ปรากฎผู้ป่วยโรคความดัน และไขมันใสเส้นเลือด เพิ่มขึ้นทันที หลายร้อยล้านคน นั่นคือจุดเริ่มของธุรกิจยา ที่มีมูลค่าอันมหาศาล

ในขณะที่องค์ความรู้สมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ทรงตรัสว่า ผู้ที่จะรู้สูตรอันนี้ได้ ต้องมีญาน มีคุณธรรม มีเมตตา สูง และรู้ใจพระพุทธเจ้า นั่นคือ รู้เพื่อที่จะมาทำให้

ผลขององค์ความรู้ ในทางโลก ก็จะได้ยาที่มีมูลค่า อาจจะเป็นหลักแสนหรือหลักล้านบาท เช่น คีโม แต่ทั้งหมดล้วนแล้วด้อยคุณค่า เพราะผลที่ได้ ดีที่สุด คือ การระงับอาการ ไม่สามารถรักษาโรคได้ อันจักเห็นได้จากการที่เมื่อเริ่มทานแล้ว หยุดไม่ได้ มีแต่ต้องทานปริมาณเพิ่มขึ้น จนท้ายที่สุด ก็หยุดอาการไม่อยู่นั่นเอง

ส่วนองค์ความรู้ในทางธรรม เมื่อนำมาทำเป็นสมุนไพร ก็หามีราคาไม่ แต่คุณค่ามหาศาล เพราะผลที่ได้คือชีวิตมนุษย์ ที่หายโรค ซึ่งราคาของชีวิตมนุษย์นั้น สุดประมาณ

ลักษณะของยาทางโลก เรียกว่าเป็น ยาตาย หมายความว่า เมื่อจะใช้ จึงไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตอง ไม่ต้องทำอะไร ถึงเวลาก็หยิบมาทาน จะเก็บไว้ตรงไหนก็ได้ วางสูงวางต่ำไม่เป็นปํญหา ผลแห่งการทานไม่เปลี่ยนแปลง อุปมาเหมือนมัมมี่มีแต่ซากไม่มีวิญญาณ หากแต่สมุนไพรของพระภูมี หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เป็นสมุนไพรมีวิญญาณ รับรู้คนทำและคนทาน ดังนั้น พฤติกรรมของคนทำและคนทาน จึงมีความสำคัญ หมายความว่า แม้นจะทานเหมือนกัน มาจากหม้อเดียวกัน สูตรเดียวกัน แต่ผลที่ได้จากการทำ และ การทาน ไม่เหมือนกัน เรียกว่า ต่างกรรมต่างวาระ เอาใครเป็นเกณฑ์ไม่ได้เลย พูดให้ง่าย ก็คือ ไม่ใช่ทานแล้วหายทุกคน แต่ทุกคนที่ทำได้ มีพฤติกรรมในเกณฑ์ที่ฟ้าดินกำหนด รับรอง หายทุกคน

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงขยายความให้ฟังเสมอว่า ตำรานี้เกิดที่ถ้ำกระบอก แตกกระจายออกไปตามพระที่แยกตัวออกมา กลายเป็นตำรา ๗ เล่ม ในแต่ละสำนักสงฆ์ที่แยกตัวออกมา แต่เมื่อผู้ทำไม่มีคุณสมบัติ ผลคือ สมุนไพรของทั้ง ๗ สำนัก รวมถึงต้นตำรับ คือ ถ้ำกระบอก ก็หามีผลต่อผู้ทานไม่ ซ้ำร้าย ผู้ทำแต่ละราย ก็ล้วนแต่เป็นโรคตายทั้งหมดทั้งสิ้น จนปัจจุบัน พระในถ้ำกระบอกเอง ที่ในตู้มีตำราที่จดไว้มากมาย ถึงยามปวดท้อง ยังต้องวิ่งไปพึ่งโรงพยาบาลพระบาทเลย

คำของแม่ชีเมี้ยนที่เตือนสติหลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อครั้งมอบตำรา นั่นคือ ตำรานี้ "ยิ่งให้ยิ่งเจริญ ยิ่งขายยิ่งฉิบหาย" ให้ดูตัวอย่างพี่ชายเอ็งไว้

ยามจะทาน ทางโลกไม่ว่าวิธีไหน บอกเป็นแสียงเดียวว่า ต้องพักผ่อนเยอะๆ หากพรหมลิขิตยังดีอยู่ ก็พอได้ หากแต่พรหมลิขิตเกิดอุบัติเหตุหักกลาง ยิ่งนอนก็ยิ่งทรุด ครั้นมาเจอสมุนไพรพระภูมี หลวงพ่อนิพนธ์กลับสอนว่า ให้ฟังคำตรัสของพระพุทธเจ้า ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัว ขยายความให้ฟังว่า นั่นคือเคล็ดที่ควรใช้อธิษฐานตั้งจิต ใช้แรงต่อแรง คือหาความหมายให้ได้ว่า แรงที่จะได้มา ควรจะใช้ในทางใด

หนึ่งในพระมาลัยที่เขียนมาเล่าให้หลวงพ่อนิพนธ์ คือ หญิงวัยชราท่านหนึ่งเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หมอพิพากษา รอวันเวลา ตอนมาก็นั่งรถเข็นมา โดยมีลูกสาวเป็นพี่เลี้ยง ครั้นเมื่อเธอได้ฟังธรรมบทนี้จากหลวงพ่อนิพนธ์ แม้นว่าเจ้าหน้าที่ดูสภาพเธอแล้ว อนุญาติให้ลูกสาวมารับสมุนไพรแทนได้ แต่ตัวเธอปฏิเสธ บอกลูกสาวให้พาเธอมาทุกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ให้เข็นเธอไปยังที่ล้างจาน เธอเล่าว่า เธอจำได้แม่นว่า วันแรกที่เธอไปช่วยล้างจาน หลังจากทานสมุนไพรมาได้หนึ่งอาทิตย์ เธอล้างจานทั้งวันได้ ๗ ใบ อาการที่เกิดก็คือเหนื่อยสุดประมาณ แต่เธอก็ยังไปล้างจานทุกครั้งที่มา ผ่านเดือน ผ่านปี วี่แววการตายของเธอ ยิ่งวันยิ่งจางหายไป จนปัจจุบัน เธอรับหน้าที่ล้างจานอย่างเต็มตัว และสามารถล้างจานให้มูลนิธิได้ในตอนนี้ถึงวันละเกือบสองพันใบ

หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า คุณสมบัติของผู้หาย ที่พระมาลัยแต่ละคนเขียนเล่ามา ล้วนมีความคล้ายคลึงกันสิ่งหนึ่งที่พวกเขาเหล่านั้นมี นั่นคือ ความที่พวกเขากลายเป็นคนสองโลก ทำตัวเหมือนมีพันธะผูกพันธ์ มีวันเวลาที่จะมาให้สุขแก่ผู้อื่น นั่นคือ เมื่อได้แรงและชีวิตกลับคืนมา หนึ่งวันในสัปดาห์ คนเหล่านี้ จะมาเสียสละ ช่วยทำงานเป็นจิตอาสาในมูลนิธิ โดยไม่มีค่าตอบแทนเป็นเงิน แต่สิ่งที่พวกเขาได้ นั่นคือ บุญ ที่ไว้เลี้ยงตน ให้มีพลังทำงานในอีกหกวัน สำหรับภาระของชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ ว่า ครอบครัว หรือ อื่นใด

ท่วงทำนองในการเดิน พิจารณาแนวทางโลก ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก เพราะเหมือนโรยกลีบกุหลาย สวยงาม น่าเดินยิ่ง ปวดรึ กินปุ๊บหายปั๊บ ทันใจดีแท้ ไอ้โน่นเสีย ก็ตัดทิ้ง สบายและ ดูราวปาฏิหารย์ที่ช่างน่าพิสมัย หันกลับมาดูแนวทางสมุนไพร ที่พระพุทธเจ้าทรงเตือนสติ ไว้แต่วันแรกว่า หนทางนี้นั้น ควรท่องเป็นคาถาคือ "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า" ต้องใช้ขันติอดทน อันมหาศาล เพราะต้องเปลี่ยนพฤติกรรม ฝืนนิสัยเดิมของตน

ในขณะที่ทางโลกนอนสบายๆ แต่ทางธรรม ไหนจะทรมานกับโรคที่เป็น ยังต้องมานั่งตัวแข็ง ขาแข็งสวดมนต์ นั่งฟังอีก เมื่อยแล้วเมื่อยอีก หากแต่การทำเช่นนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็อรรถาธิบายให้ฟังว่า พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า เมื่ออานนท์ทุกข์กับวินัยธรรมของพระองค์แล้ว ก็จักได้ไม่ต้องไปทุกข์กับกรรมที่ทำมา เพราะได้ใช้ทุกข์อันนั้นไปแล้วนั่นเอง พูดง่ายๆ ก็ปวดเมื่อย ทรมานกับการนั่งฟัง และสวดมนต์แล้ว ตามวินัยบัญญัติของพระภูมี เราท่านจะได้ไม่ต้องทุกข์กับโรคอีกนั่นเอง

จุดตายที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้แนะว่า ทำไมทางโลก จึงไม่มีทางประสพความสำเร็จในการรักษาโรค เพราะคนเหล่านั้นไม่รู้เรื่องกรรมนั่นเอง ที่ที่เป็นบ่อเกิดแห่งโรคทั้งหมดทั้งปวง เมื่อไม่รู้เหตุ ย่อมเหมือนช่างมั่ว ไม่รู้ว่าเสียตรงไหน ผลก็คือ หลักของทางโลก จึงเรียกหลักเพิ่ม ยิ่งทำยิ่งเพิ่ม จากหนึ่งโรคเป็นสอง สาม สี่ .. แล้วก็ตายไป แต่หลักของพระภูมี เรียกหลักลด เมื่อทำถูก จากหลายโรค ก็ค่อยๆ ลดลง จนในที่สุด ก็กลับเป็นปกติ

วิธีการของทางโลก ใช้แนวทางการหนีปัญหา ท้ายที่สุดแก้ไม่ได้ ก็ตัดปัญหาที่แก้ไม่ได้ทิ้ง อุปมาภาพให้เห็นชัดๆ ก็อาทิคนเป็นเบาหวาน จากให้ลดการทานอาหารหวาน เป็นลดน้ำตาล เป็นลดข้าว เป็นวุ้นเส้น แต่ก็หยุดไม่อยู่ หากขาเน่า รักษาแผลติดเชื้อไว้ไม่ได้ ก็ตัดทิ้ง นั่นเอง หากแต่วิธีตามพุทธบัญญัติ ใช้ขันติอดทน สู้ปัญหา จึงเริ่มด้วยการกลับมาทานทีละน้อย ค่อยๆเพิ่มขึ้น ให้อาการของเบาหวานเกิด แล้วร่างกายสร้างภูมิมาต่อสู้ จนชนะ ในที่สุดก็จักกลับมาทานหวานได้ตามปกติ เรียกว่าหายโรคนั่นเอง

รายละเอียดที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนมีมากมาย แต่เราท่านใจร้อน อยากหายในสามวันเจ็ดวัน ไม่เอาความจริง เพราะไม่ยอมให้อาการใดๆเกิดกับตน เรียกว่าจะหายโดยไม่ต้องรับกรรมที่ตนทำมาอะไรเลยนั่นเอง ซึ่งอยากแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้ ต้องค่อยๆเรียนรู้ และสู้ไป ถึงกระนั้นก็ตาม คนทำได้ ผลตอบแทนที่ได้ก็มหาศาล นั่นคือ การกอบกู้ชีวิตตน ให้มีอิสระอีกครั้ง กลับมามีความสุข อยากทานอะไรก็ได้ทาน

ยิ่งได้ฟังแถลงการณ์ของแพทย์ไทยเมื่อไม่กี่วันยิ่งฮา เพราะนั่นคือเรื่องโกหกพกลม หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แม่ชีเมี้ยนสอนเมื่อครั้งถ้ำกระบอก ว่าสิ่งที่วงการแพทย์อยากได้มาก นั่นคือ วัคซีน เพื่อแก้โรคต่างๆ หากแต่การจะได้มาซึ่งวัคซีน ที่มีผล มาได้ทางเดียว นั่นคือ จากคนที่หายโรคนั้นๆ แต่ก็มีวงเล็บ มิใช่การหายด้วยยาเคมี ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่ว่า มียาเคมีที่ทำให้คนนั้นรอดจากโรค แต่ด้วยฤทธิ์ของยาเคมีไปทำลายโรค หากจะได้มาซึ่งวัคซีน ต้องให้คนเป็นโรคนั้นๆ ทานสมุนไพร แล้วรอให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี้ หรือสารต้านเชื้อโรคนั้นๆ ขึ้นมาต่อสู้ จนชนะโรคนั้น ผลที่ได้คือการหายโรค แต่ที่สำคัญกว่าคือ ในร่างกายของคนคนนั้น จะมีสารนี้หมุนเวียนเป็นเกราะป้องกัน เมื่อดูดเลือดคนที่หายโรคนี้ แล้วก็จะสามารถนำไปสร้างเป็นวัคซีนที่มีผลได้

คำกล่าวนี้จึงทำให้เราย้อนไปถึงคำพูดของเจ้าหน้าที่สหประชาชาติที่เคยมาขอยาตากับหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วกระเซ้าหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ให้รักษาพวกที่หายจากโรคเอดส์ให้ดี เพราะนี่คือขุมทรัพย์อันมหาศาล เลือดของพวกเขาแต่ละคนมีค่ามาก เพราะนั่นคือ แหล่งของวัคซีนเอดส์นั่นเอง

และหากย้อนไปเมื่อครั้งแอฟริกา อ้างว่าได้ให้คนไข้เอดส์ทานสมุนไพรจนหาย นักวิชาการแพทย์อเมริกัน รีบจับเครื่องไปเพื่อพิสูจน์ โดยในการพิสูจน์ครั้งนั้น แม้นจะมีเอกสารให้ดูมากมาย แต่หาได้รับความสนใจอันใด เพราะทีมนักวิชาการต้องการเฉพาะผลเลือดเพื่อตรวจพิสูจน์ และความจริงก็ปรากฎว่า เป็นแค่เรื่องหลอกลวง เพราะไม่พบสารแอนตีบอดี้ หรือ ภูมิที่ต่อต้านเชื้อเอดส์ ใดๆเลยนั่นเอง

ความจริงข้อนี้ ทำให้เราได้รู้ว่า ทำไมจึงเกิดคำกล่าวว่า หนีเสือ ปะจรเข้ นั่นก็เพราะคนหลายคนที่มาทานสมุนไพร อาจจะยอมเปลี่ยนพฤติกรรมชั่วคราว เพื่อให้ตนหายจากโรค ซึ่งก็สมใจ แต่เมื่อหายแล้ว ก็กลับไปมีพฤติกรรมเดิมอีก กรรมเขาจะบันดาลโรคเดิมให้ก็ไม่ได้ เพราะร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคเดิมแล้ว ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า เมื่อหายแล้ว มีภูมิแล้ว นั่นหมายความว่าคนผุ้นั้น จะไม่กลับมาเป็นโรคนี้อีกตลอดชีวิต แต่หลวงพ่อนิพนธ์สอนเสมอว่า กรรมมันแปรได้ เมื่อเอามะเร็งไม่ได้ ก็ให้เป็นอย่างอื่นได้ เพราะตายเหมือนกัน นั่นคือ หนีเสือมะเร็งได้ ไปตายด้วยจรเข้ไต นั่นเอง

บทสุดท้ายของความต่าง แนวทางโลก ไม่ต้องเปลี่ยนนิสัยอันใดเลย ภาพดูดี อุปมาเหมือนดอกบัวสวยงาม ให้หยิบชม แต่เมื่อเอื้อมเข้าไป กลายเป็นกงจักร ตัดนิ้ว ตัดมือ ตัดอวัยวะขาดวิ่น และอาจถึงกับตัดชีวิต แต่คนนิยมชมชอบ เพราะกรรมมันส่งเสริม แนวทางของพระภูมี ดูแล้วลำบาก ไม่อยากเลือก ผู้ที่เลือก จึงต้องเอาเหตุและผลอันมหาศาลของพระภูมี มาเป็นสติ ให้เดิน ดูแล้วเหมือนกงจักร หากแต่เมื่อเอื้อมมือคว้า กลับกลายเป็นดอกบัว ที่ส่งกลินหอม ให้สุขอันมหาศาล

สติที่แม่ชีเมี้ยนทรงเตือนหลวงพ่อนิพนธ์ด้วยรู้ใจ จึงยกพระโคดมให้ฟังว่า แม้นธรรมของพระองค์จักดีสักฉันใด คนอินเดียมีถึงร้อยล้านคน แต่สี่สิบปีที่พระโคดมทรงโปรด ก็ได้สาวกแค่เพียง เกือบแสนคน เท่านั้น การที่นำธรรมหมวดสมุนไพรมาทำ ก็คงเป็นเช่นนั้น แต่ผลแห่งการทำ ผู้ที่หัวเราะทีหลัง ก็คือผู้ทำได้นั่นเอง ซ้ำยังดังกว่า เป็นตำนานประวัติศาสตร์เล่าขานให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา

บทสรุปของคำสอนทุกครั้ง หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า พระภูมีทรงบัญญัติบุญของท่าน ไม่ใช่ที่วัด ที่โบสถ์ หรือเฉพาะกับพระ หากแต่บุญเกิดแต่การให้สุขแก่มนุษย์และสัตว์ ทำที่ใดในโลกก็ได้ นับถือศาสนาอะไรก็ได้ ไม่จำกัด ... การจักหายโรค จะพึ่งลำพังสมุไพรไม่ได้ เรียนรู้วิธีหาบุญ แล้วทำให้ถูก เพราะการหายที่สมบูรณ์ ต้องทำให้กรรมอันเป็นต้นเหตุหายไปด้วย ชีวิตจึงจักปลอดภัย ... เมื่อมีสตินี้แล้ว ทำตนหายแล้ว ไปอยู่ทีใด ก็สามารถทำตามคำสอนของพระภูมี มีบุญเลี้ยงตน อยู่ได้เป็นปกติสุข ... ที่สำคัญ ได้ชื่อว่าเป็นคนดี เพราะมีธรรม และประพฤติธรรมได้นั่นเอง

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44