วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ลักษณะของพระ ของพระพุทธเจ้า

เมื่อครั้งแม่ชีเมี้ยน เกลี้ยกล่อมให้หลวงพ่อนิพนธ์บวชเป็นพระ ก็ได้พูดจาหลอกล่อ จากเริ่มต้นให้บวชแค่ ๑๕ วัน แล้วอนุญาตให้สึก

เวลา ๑๕ วัน ที่ยอมบวช แม่ชีเมี้ยนก็พูดสอน จนกลายเป็นบวชไม่สึก

ความแรก ที่เป็นข้อโต้เถียงกัน ระหว่างสามเณร กับแม่ชีเมี้ยน นั่นคือ การรู้ถึงความอยากของสามเณร ที่เพื่อนๆ ในกลุ่มที่มีหัวดี ชวนชักกันไปสอบเรียนแพทย์ ... คือประกายที่แม่ชีเมี้ยนนำมาจุดนั่นเอง

ทรงตรัสว่า การไปเรียนแพทย์ ก็หาช่วยคนให้หายจากโรคได้สักคนไม่ หากเณรอยากช่วยคนให้หายโรค ต้องเรียนวิชาสมุนไพรและธรรมของพระภูมี จึงจะเห็นคนหายโรค

การเรียนธรรมของพระภูมี ก็ต้องเอาวินัยที่บัญญัติไว้มาปฏิบัติ นั่นคือ ฉันมื้อเดียว รถเรือไม่ขึ้น เงินทองไม่รับ ถือธุดงค์เป็นวัตร

คำถามที่ถูกยิงจากสามเณรไปยังแม่ชีเมี้ยน จึงมีว่า ทำไมพระของพระพุทธเจ้า จึงต้องทำเยี่ยงนั้น

แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสตอบว่า ก็ด้วยเหตุที่การตัดทรัพย์สินสิ่งที่มี หาเป็นบุญไม่ แม้นจะมากสักฉันใด เอาเงินทองหมดพระคลัง ก็หาบุญไปนิพพานไม่ได้ อันหมายความว่า อยากเห็นบุญ อย่ามองสูง ไม่มีทางเห็น ให้มองต่ำ

หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังว่า นั่นจึงเป็นเหตุที่ให้พระโคดม ทิ้งวัง ทิ้งราชรถ มาเดินกลางดิน กินกลางทราย แล้วใช้สมบัติที่ทุกคนมีอันมหาศาลมาแสวงหาบุญ นั่นคือ นิสัยสันดานของตน สร้างคุณสมบัติให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เกื้อหนุน จนหมดกิเลส

หากแม้นหมดกิเลสเป็นพระพุทธเจ้าแล้วไซร้ บุญก็ยังไม่เพียงพอที่จะพาไปนิพพาน ด้วยเป็นเพียงไม่สร้างกรรมใหม่ หากแต่กรรมเก่าก็ยังอยู่ ความคิดที่จะอดพระกระยาหารเพื่อเข้านิพพาน ก็เลยเปลี่ยน ด้วยสติที่ฟ้าดินให้ว่า "โคดมเสมือนมีตำราขนมครก ยังไม่ไปทำให้ผู้ใดทานเลย ตำราก็หามีค่าไม่ เพราะฉะนั้น หากโคดมจะแสวงหาบุญพาไปนิพพาน อย่างเลยมนุษย์และสัตว์" เราท่านจึงได้เห็นสาวกนับแสน ที่มาเดินตามและสำเร็จอรหันต์ เป็นตำนานมาจนทุกวันนี้

วินัยของพระพุทธเจ้า แม่ชีเมี้ยนจึงเรียกว่า วินัยทุกข์ เพราะเราท่านมีกรรม พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จึงบัญญัติวินัยธรรม นั่นคือ ให้ทุกข์กับธรรมวินัย ดีกว่าไปทุกข์กับกรรม แล้วให้แสวงหาสุข โดยการให้สุขแก่ผู้อื่น

พระของพระพุทธเจ้า เมื่อปฏิบัติธรรมวินัย จึงกลายเป็นเนื้อนาบุญ แล้วทำตนเป็นผู้ยากไร้ เพื่อเปิดโอกาสให้เราท่านได้มีโอกาส มาสนับสนุน เรียกว่าเกาะชายผ้าเหลือง

คำถามของสามเณร จี้ไปที่ว่า ทำไมต้องทำตนยากไร้ขาดแคลน อันหมายถึงการต้องไปบิณฑบาตร ก็เพื่อค่าของสิ่งของที่ให้จะได้มีค่าอันมหาศาลนั่นเอง อุปมาเหมือนเราท่านมีน้ำ ไปให้คนมีน้ำเป็นตุ่ม ค่าของน้ำก็น้อยนิด หากให้คนที่อยู่กลางทะเลทราย ต้องการน้ำเพื่อประทังชีวิต น้ำเพียงแก้ว ก็มีค่ามหาศาล

วินัยที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสแก่สงฆ์สาวก เป็นอันดับแรก จึงตรัสว่า ธรรมของตถาคต มีไว้เพื่อสร้างปูชนียบุคคล มิใช่ปูชนียวัตถุ นั่นทำให้เราท่านไม่เห็นว่าอินเดียมีวัดวาอาราม เจดีย์ ให้เห็นเลยนั่นเอง

กระนั้นก็ตาม แม้นอาหารที่ใส่ในบาตรของพระอรหันต์ จะมีค่ามากมายสักฉันใด ก็มีข้อจำกัด เพราะสิ้นสุดแค่วันหนึ่งเท่านั้นเอง วันรุ่งขึ้นก็หิวอีก สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ว่า เป็นสิ่งที่ถาวรกว่า นั่นคือ สมุนไพร และนิสัย

ดังนั้น โรงทานของพระพุทธเจ้าในครั้งเข้าพรรษา จึงเต็มไปด้วยสมุนไพรที่ชาวบ้านนำมาถวาย หาใช่อาหาร

และนิทานครั้งพุทธกาล ก็ถูกหยิกยกมาให้สามเณรฟัง นั่นคือ เมื่อครั้งพระโคดม พักอยู่ใกล้บ้านสองตายาย ที่เลื่อมใสในพระโคดม และทำข้าวมาใส่บาตรทุกเช้า หากแต่สองตายาย ก็ทะเลาะกันทุกวัน จนวันหนึ่ง พระโคดมจึงโปรดสองตายายว่า ข้าวที่ใส่บาตร ผลก็แค่อิ่มในวันหนึ่ง หาเป็นที่ประสงค์ไม่ ทำไมสองตายายไม่ใส่นิสัยลงมาในบาตร เอานิสัยที่จะไม่โกรธ ไม่ทะเลากัน ใส่มา นั่นแหละที่พระโคดมต้องการ

นับแต่นั้นมา ก็ไม่มีเสียงสองตายายทะเลาะกันอีกเลย

สัญญลักษณ์บาตรของพระพุทธศาสนา ที่อาจถูกมองว่าเป็นศาสนาขอทาน หากแต่จริงแล้วเป็นสัญญบลักษณ์ของบุญ ที่เมื่อใส่นิสัยลงไปแล้ว ก่อให้เกิดบุญได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา หาใช่เพื่อต้องการข้าวไม่

หากแต่บุญของพระที่ทำ ก็ได้มาด้วยความยากลำบาก พระจึงหวงบุญมาก ดังนั้น อัฐบริขารที่มี จึงมีน้อยแต่พอใช้ และรักษาให้ยาวนานที่สุด จักเปลี่ยนก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น กฐินผ้าป่า ในพุทธกาล จึงไม่ใช่มีทุกปี นานๆจึงจักมีสักครั้ง อันปรากฎให้เห็นว่าทำไมจีวรของพระ จึงกลายเป็นเสมือนผืนนา ก็เพราะปะแล้วปะอีก เย็บแล้วเย็บอีก ไม่ยอมเปลี่ยนง่ายๆนั่นเอง

พระของพระพุทธเจ้า จึงมีไว้เพื่อโชว์นิสัยของพระพุทธเจ้า หรือ นิสัยธรรม ... เป็นเนื้อนาบุญ แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า แม้นจะมีวัยสูงเกินร้อย ก็เดินหลังตรง ตาไม่ฝ้าฟาง ทำกิจธุดงค์ได้ทุกปี

พราหมณ์มันก็เขียน หมอชีวก มาให้ เพราะมันรู้ดีว่า สิ่งที่มันทำ แค่เอาเครื่องหมายศาสนามาห่ม มันจึงต้องเป็นโรคอย่างแน่นอน แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า สงฆ์เป็นเนื้อนาบุญ ... ไม่เป็นโรคเช่นนั้นดอก เพราะโรคเป็นสัญญลักษณ์ของกรรม

บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ อยากให้รอดู นั่นคือ พระพุทธเจ้าที่จะมาอุบัติ แล้วเราท่านจะได้เห็นว่า หามีปูชนียวัตถุใดๆไม่ เมื่อประกาศตนวันใด ย่อมหมายถึง การสังคายนาศาสนาพุทธ นั่นเอง ทีนี้ ใครที่แอบอ้าง ห่มแต่ผ้าเหลือง ... จะได้เห็นว่าบุญญาธิการของศาสนาเป็นเช่นไร ทำไมคนในอดีตแม้นไม่ชอบแต่ก็ยอมรับ มาจนทุกวันนี้

เมื่อธรรมหมวดสมุนไพร เป็น ๑ ใน แปดหมื่น .. พระธรรมขันธ์ การทำตนฟื้นฟูตน จึงมีความหมายแฝงว่า ได้ปฏิบัติธรรม และมีพฤติกรรม ตามคำสอน แม้นจะเพียงเสี้ยงหนึ่งก็ตาม หากแต่เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติวันใด การเข้าไปรับธรรม สิ่งนี้ก็จะเป็นไปเบิกทางให้ เพราะถือว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติ

โลกที่เจริญด้วยวัตถุ วันหนึ่งก็ถึงทางตัน เพราะเป็นโลกเจริญเทียม หากแต่โลกที่เจริญจากกลุ่มคนที่เจริญทางจิตใจ นั่นแลคือโลกศิวิไลช์ เพราะคนในแผ่นดินนั้น คิดแต่จะให้สุขแก่ผู้อื่น เป็นนิสัยนั่นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์จึงชวนชักว่า การให้มาทานสมุนไพร ก็เพื่อทำตนรอพระพุทธเจ้านั่นเอง ... การหายโรคนั้นเป็นของแถม ชาติหนึ่งได้กราบพระพุทธเจ้า รับธรรมมาปฏิบัติ บางสิ่งบางอย่าง ชาตินี้ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว

พระปัจจุบันที่เห็น แม่ชีเมี้ยนจึงกล่าวว่า พุทธกาล พระพุทธเจ้าเขาเรียกพระพวกนี้ว่า สมมุติสงฆ์ หากแต่สงฆ์สาวกของท่าน เป็นผู้ที่ต้องมีขันติอดทนต่อวินัยที่บัญญัติ จึงทรงเรียกสงฆ์ของท่านว่า "ขันติสงฆ์"

ก็ตัวท่านทิ้งเวียงวัง ราชรถไปเดิน เรียก จากทานช้อนทอง มาทานช้อนสังกะสี พระทุกวันนี้ จากทานช้อนสังกะสี นานกระต๊อบ มาทานช้อนทอง นอนห้องแอร์ นั่งรถเบ๊นซ์ ... แถมมีเงินซ่อนในกุฎิมากมาย .. สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง

แล้วจะไปหาบุญกับพระ ... ก็พระยังต้องไปโรงพยาบาลสงฆ์เลย ... จะมีบุญให้ได้อย่างไร

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44