เมื่อครั้งหลวงพ่อนิพนธ์ยังเปิดสำนัก นั่นหมายถึงรับคนที่เป็นโรค หรือหายโรคแล้ว เข้ามาบวช ตามหลักพุทธกาล สมัยนั้น ก็มีพระประมาณสามสิบรูป
หลายรูปในขณะนั้น เป็นโรคร้ายแรงที่คนทั้งโลกกลัว หมอส่ายหน้า นั่นคือ โรคเอดส์
กิจกรรมของพระแน่นอน นั่นคือ การปลงผม
วงสงฆ์นับแต่เจ้าอาวาส ก็หวั่นวิตก เพราะในขณะนั้น ทั้งสำนักมีมีดโกนด้ามเดียว และใบก็มีเพียงไม่กี่ใบ นั่นหมายความว่า ยากที่จะหลีกเลี่ยงการใช้ใบมีดโกนร่วมกันได้กับพระที่เป็นโรคเอดส์เหล่านั้น ซึ่งมีหลายองค์
หลวงพ่อนิพนธ์ทราบความในใจ เมื่อครั้งมาหา จึงกล่าวสอนพระว่า ท่านเชื่อในความดี ในบุญของพระพุทธเจ้าหรือไม่ คนทั้งหลายเชื่อในวิทยาศาสตร์ กล่าวกันว่า โรคเป็นเพราะการนำมาติด หากแต่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า โรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม เมื่อไม่มีกรรม ทำอย่างไรมันก็ไม่เป็น
ด้วยคำสอนนี้เอง พระทุกรูปจึงปลงผมกันอย่างสบายใจ อันแสดงให้เห็นว่า คนดีตามครรลองของพระภูมี หรือคนมีบุญ โรคมันไม่เกาะอย่างแน่นอน
ผ่านมาหลายสิบปี ไม่ว่าพระที่เป็นเอดส์ สึกไปบางคนตอนนี้หอบหิ้วลูกมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ไม่มีเชื้อทั้งพ่อแม่ลูก แลพระทุกรูปในยุคนั้น ก็ไม่เห็นปรากฎว่ามีองค์ใดเป็นโรคเอดส์กันเลยสักองค์
จึงไม่แปลกที่เราท่านได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวบ่อยๆ ใครเขาจะบ้าวิทยาศาสตร์ บ้าโน่นบ้านี่ก็บ้าไป แต่ท่านบ้าพระพุทธเจ้า สร้างบุญตามบัญญัติ ธรรมคำสอน นี่แหละชีวิตปลอดภัยที่สุด