แต่ผู้หนึ่งที่ได้รับการยอมรับ และมีผลงานประจักษ์ นั่นคือ พระพุทธเจ้า ดังนั้น เหตุแห่งการมีศาสนา หรือ พระพุทธเจ้า นั้น กล่าวได้ว่า ไม่ใช่สิ่งจำเป็นแก่มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม เพราะแต่ละคนมีกรรมเป็นอำนาจ ดูแลปกป้องอยู่แล้ว หากแต่ศาสนา หรือ พระพุทธเจ้า มีความสำคัญ ต่อคนกลุ่มเล็กๆ ที่ให้ความสำคัญต่อเรื่องของชีวิต และอยากหนี อยากหลุดพ้น วัฐจักร เวียนว่าย คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรืออย่างน้อย ก็หนีเจ็บ
เมื่อไม่มีปัญหาชีวิต ศาสนา ก็ไม่มีความจำเป็น คนก็ไม่ดิ้นรนแสวงหา เราท่านจึงไม่เห็นคนในสถานที่บันเทิง เริงรมย์ โรงหนัง หรือ สถานที่ที่คนปกติ เขานิยมชมชอบ พูดถึงกล่าวถึง คิดถึง เรื่องของศาสนาเลย
แลเมื่อมีปัญหาชีวิต ก็มีสรรพสิ่ง อ้างตนเป็นผู้ช่วยเหลือกันอย่างมากมาย เรียงรายรอ ให้เข้าไปหา มาไม่ถึงศาสนาหรอก ติดอยู่กับ หมอ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ลัทธิ พิธีการ ... ต่างๆ เหล่านั้น กันหมด
นั่นหมายความว่า ศาสนา หรือ พระพุทธเจ้า จึงเป็นเสมือน ทางเลือกสุดท้าย ที่พึ่งสุดท้าย ที่คนจะมาหา มาพึ่ง แต่เมื่อมาเจอ มาพบ หลายคนก็เบือนหน้าหนี เพราะไม่คุ้นเคย ทำยาก แม่ชีเมี้ยนจึงเตือนหลวงพ่อนิพนธ์เสมอว่า เรื่องของศาสนา จึงเป็นเรื่องของคนอยากได้ แล้วทำเอง เป็นเรื่องของคนกลุ่มน้อย ที่สำคัญ คนกลุ่มน้อยนี้ เมื่อทำได้ ก็ไปหมดแล้ว ดังนั้น จึงไม่หลงเหลือความรู้ที่แท้จริง ให้เห็น จะมีก็แต่พวกที่แอบอ้าง ศาสน์หากิน จึงใช้ช่วยชีวิตไม่ได้
เมื่อความรู้เรื่องกรรมหายไป มนุษย์ถูกหล่อหลอมให้เชื่อวิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ พีธีกรรม ดังนั้น การแก้ปัญหา จากพื้นฐานเดิมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่าโรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม ไม่ได้มาเพื่อฆ่าชีวิต มาแล้วก็ไป นอกเสียจากถึงพรหมลิขิตเท่านั้น
มนุษย์ทั้งหลายจึงปฏิเสธกรรม และสร้างพฤติกรรม เสมือนลิงแก้แห เพราะไม่ยอมรับในกรรมนั้นๆ ปวดก็ไม่ทน เจ็บนิดเจ็บหน่อยก็ไม่เอา ... หาหนทางระงับ
ความผิดพลาดจึงเริ่มต้น เมื่อเห็นแก่ความสุขเฉพาะหน้า เพื่อไม่ปวด ไม่เจ็บ ไม่ทรมาน ในวันนี้ โดยเฉพาะความเชื่อในวิทยาศาสตร์ แล้วก็เริ่มมีการทานยาเคมี
ผลที่ตามมาก็คือ ยาเคมีเป็นสารที่ร่างกายไม่ต้องการ ย่อมไม่ได้ ที่สำคัญ ไล่ออกไม่หมด นั่นหมายถึงเมื่อทาน ย่อมมีสารตกค้างอยู่ในร่างกาย กลายเป็นระเบิดเวลา
เมื่อไปตกอยู่ที่ใด ระเบิดเหล่านี้ ก็จะกลายเป็นสถานี ทำให้เกิดโรค เพราะเซลล์บริเวณนั้นจะขาดออกซิเจน กลายเป็นแหล่งฟักเชื้ออย่างดี
ผลที่ตามมา จากโรคพื้นฐาน ปวดเมื่อย ความดัน ก็จะเริ่มกลายเป็นโรคสอง โรคสาม
พร้อมกับสร้างสภาวะเซลล์ที่เครียด เอื้อต่อเซลล์มะเร็งในตัว นั่นก็เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในอนาคตได้อย่างง่ายดาย
สภาพเช่นนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ลำพังเซลล์มะเร็ง มันฆ่าให้เราท่านตายไม่ได้หรอก แต่ด้วยความไม่รู้ พฤติกรรมการทานเคมี ทำให้เกิดโรคสองสาม ตามมา กลายเป็น ร่างกายเราถูกรุมกินโต๊ะ
สิ่งที่จะพิสูจน์ให้เห็นได้ชัด ก็คือ ความดันไม่ได้ทำให้คนตาย หากแต่คนทานยาควบคุมความดัน มักจะตายด้วย โรคไตวาย หรือ ไม่ก็กลายเป็นอัมพฤกต์ ซึ่งมิใช่เกิดจากผลของความดัน หากแต่ผลของยาเคมี ทำให้หลอดเลือดบริเวณที่สารเคมีทิ้งตัว เปราะ และแตกง่าย
ดังนั้น วิธีกระบวนการที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงต้องกำจัดหมาหมู่เหล่านี้ให้ออกไป หรือเหลือน้อยที่สุด เริ่มตั้งแต่ทำความเข้าใจ ว่าไม่ถึงที่ตาย ไม่วายชีวาวาตย์ เพราะทุกสรรพสิ่งเกิดแต่กรรม เพื่อให้จิตผ่อนคลาย กำจัดโรคเครียด ซึมเศร้า เป็นอันดับแรก จนจิตใจกลับมาฮึกเหิม ร่าเริง แจ่มใส ทำตนเหมือนปกติคนไม่มีโรค
คำแนะนำเพื่อกำจัดหมาตัวต่อไป ที่วิทยากรทุกท่าน มักจะแนะนำ นั่นคือ การหยุดหรือลดทอน การใช้ยาเคมีให้เร็วที่สุด เพื่อมิให้เกิดโรคต่อเนื่อง อันเป็นผลจากสารเคมี อาทิ หากมีสารเคมีหลุดเข้าไตมากๆ ไตทำงานไม่ไหว ก็เริ่มมีประสิทธิภาพลดลง นั่นคือ โรคไตกำลังจะมาเยือน
หยุดพฤติกรรม ที่เพิ่มกรรม นั่นก็คือ ต้องปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นคนที่สงบ มีพื้นฐานความคิดที่จะให้สุขแก่ผู้อื่น
ช่วงนี้ เราท่านจึงมักได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์พูดเสมอว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้ากลัวที่สุด คือ กรรม หากแต่สิ่งที่กรรมกลัวที่สุด คือ ธรรม แลผู้มีธรรม ก็คือผู้ที่สามารถรักษาความสงบ หรือที่เรียกว่ากรรมฐาน ไว้ได้
สัปดาห์หนึ่ง มีช่วงเวลาที่เราต้องเข้ากรรมฐาน ไม่กี่ชั่วโมง หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่าใครอยากสัมผัสบุญ ก็ลองรักษาความสงบ เน้นในห้องสวดมนต์ ห้องกระโจม แลเวลารับสมุนไพร แล้วดูผล
เมื่อลดศึกเหลือหน้าเดียวคือ โรค ก็เป็นงานเบาสำหรับสมุนไพร ที่เชื่อได้ว่า ศึกนี้ชนะแน่ .... คำตรัสของพระภูมี ความไม่มีโรค จึงจักเป็นได้จริง ได้สัมผัสอย่างแน่นอน
จะมาทานสมุนไพรอย่างเดียว ในสภาพที่ถูกหมารุมกัด มีศึกหลายๆ ด้านพร้อมกัน หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า ยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเสียอีก มองแล้วยาก อย่ามาเสียเวลาเลย
คนที่คิดแต่จะทานสมุนไพรอย่างเดียว นั่นเป็นเพราะเขาประเมินกรรมต่ำเกิน ... หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า พระพุทธเจ้ายังกลัวกรรมเลย เพราะแม้นเพียงเสี้ยวกรรม ก็ต้องเกิดมารับแล้ว คำพังเพยที่ศาสนากล่าวให้ฟัง ถูกยกมาบ่อยๆ นั่นคือ "อยู่ใต้ฟ้า อย่าท้าฝน เกิดเป็นคน อย่าท้ากรรม"
อ้ายคนทำมันไม่กลัว แต่หลวงพ่อนิพนธ์ แลเจ้าหน้าที่เขากลัว ไม่รู้ว่าว่ากรรมจะเล่นอ้ายคนนั้นเมื่อไหร่ เข้าห้องสวดมนต์ เขาสงบกัน มันนั่งคุย นั่งเล่นโทรศัพท์ แล้วจะเอาบุญที่ไหนไปคุ้มครอง เกิดกรรมมันมา ชักตาค้าง ตายไป คนไม่รู้ ก็บอกว่า มาที่นี่แล้วตาย .... แต่ไม่รู้หรอกว่า คนๆ นั้น มีพฤติกรรมอย่างไร
เตือนอีกครั้ง คนเหล่านี้หากไม่เปลี่ยนพฤติกรรม สักวันต้องถูกไล่ให้ไปเป็นยักษ์หน้าโบสถ์ ช้าหรือเร็วเท่านั้น
จะชนะศึกได้ ต้องรู้เขา รู้เรา ... เจ้าหน้าที่บางคน เขาจึงไม่ยอมให้มาเกิดที่นี่ ไม่รอหลวงพ่อนิพนธ์ไล่ เขาทำเองเลย
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ผู้ชนะ ก็คือ ผู้ที่สามารถทำศึกของตนให้เหลือเพียงหน้าเดียว คือ โรค เพียวๆ แล้วใช้สมุนไพรเข้าสู้ ... นั่นคือ พวกที่ฟัง แล้วคิด แล้วปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้สอดคล้องกับบัญญัติของพระภูมี ส่วนพวกที่ฟัง ไม่คิด ไม่ทำ พวกนั้นต้องถือว่ามากินเล่น ทำใจ เพราะมันคือพวกชูชก ต้องให้มันกิน รอจนท้องแตกตายไปเอง