หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอ หากไม่มีแม่ชีเมี้ยน ตัวท่านก็ไม่รู้ ดังนั้นเรื่องของศาสนาจึงเป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่คุ้นเคย เพราะถูกมอมเมาจากพวกแอบอ้างจนยึดติด พอมาเจอของจริง บางคนอาจรับไม่ได้
ก็เพราะหลักของพระภูมี เป็นศาสนาทำ คือ ต้องพึ่งตนเอง ส่วนของพวกแอบอ้างนั้น ก็เด่นชัด ไม่ต้องทำอยากได้อะไรก็ขอ
สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นความแตกต่างอย่างเด่นชัดนั่นคือบุญที่จักพึงได้จากความเชื่อนั้นๆ เมื่อวันเวลามาถึงนั่นคือกรรมที่ทำมาตามทัน สิ่งที่ทำที่กล่าวอ้างว่าเป็นบุญช่วยตนของตนได้หรือไม่ คือคำตอบว่าการที่ทำมีผลบุญย้อนมาไหม
ภาพล่าสุดที่เราเห็น ประจักษ์ในคำสอน ว่าผลแห่งการมาทำให้หลบเลี่ยงกรรมเลี่ยงเคราะห์ได้ ก็ดูจากคนไข้กลุ่มชุมพร ที่มากันเป็นกลุ่มใหญ่ และอาศัยไปพักในม๊อบระหว่างนี้ เมื่อถึงเวลาก็มารับสมุนไพร
ส่วนใหญ่ก็มาปกติ มีกลุ่มเล็กๆ ที่บอกเหนื่อยขอพักรออยู่ที่ม๊อบ และสองคนในกลุ่มนั้นก็โดนระเบิดตายตามที่เป็นข่าว
บางคนอาจเสียดายเวลา เสียดายเงินในการมาที่นี่ แต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอ สิ่งนี้ทำให้พ้นเคราะห์ได้ แต่ก็นั่นแหละไม่มีใครรู้ จึงไม่ซึ้ง
ความต่างของคำสอน จึงอยู่ที่พฤติกรรม นี่แหละจึงเป็นจุดอ่อนของกรรมที่พระภูมีเห็นและนำมาสอนสาวกให้พ้นกรรม
เอกลักษณ์ของธรรม คือความสงบ จึงเป็นพฤติกรรมที่ผู้ปฎิบัติธรรม ใช้เป็นพื้นฐานในการสู้กับกรรมเวร โดยเฉพาะในช่วงพิธีกรรมแห่งชีวิต
หลวงพ่อนิพนธ์จึงพยายามฝึกให้เราท่านมีสติรักษาความสงบ โดยเฉพาะเวลาแห่งชีวิตทั้งสาม ต้องรักษากรรมฐานอันนี้ไว้ให้มั่น อันได้แก่ เวลาที่อยู่ในห้องสวดมนต์ เวลาทานสมุนไพรหรือเข้ากระโจม และเวลารับสมุนไพร
ช่วงเวลานี้พฤติกรรมต้องแตกต่างจากเวลาอื่น ต้องบังคับตนมีสติ ไม่ร้อนรนไปตามนิสัย อันจะเห็นว่าถ้าหลวงพ่อนิพนธ์เห็นเราท่านหงุดหงิด กระสับกระส่ายในการนั่งฟังหรือรับสมุนไพรท่านก็จะยืดเวลาออกไป เพราะนั่นแสดงว่านิสัยเราท่านมันนำตน หากเราท่านสงบนั่นหมายถึงธรรมมานำเราท่าน
ด้วยเห็นจุดอ่อนของกรรมข้อนี้ การรักษาโรคของเราท่าน จึงไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องโรคสักเท่าใด ให้เป็นหน้าที่ของหมอใหญ่คือร่างกาย ส่งวัตถุดิบให้คือสมุนไพร แต่ตัวแปรที่สำคัญที่ทำให้ผลเกิดหรือไม่เพียงใดขึ้นกับพฤติกรรมที่ทำเป็นสำคัญ
ได้ฟังอย่างนี้รู้ได้เลยว่า การหายโรคง่ายนิดเดียว ไม่มีใครรักษาใครได้ หายช้าหายเร็ว ปัจจัยสำคัญคือตัวของเราท่านนั่นเอง เป็นผู้ตัดสิน
ความจริงข้อนี้ จึงเป็นเหตุให้กล่าวได้เต็มปากว่า หากเป็นโรคตาย คือโรคที่เป็นแล้วทำให้ตายได้ โลกนี้ไม่มียารักษาอย่างแน่นอน เพราะกรรมมันไม่กลัว
และมนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งศาสนาของพระภูมี เพราะทุกคนมีพรหมลิขิตเกื้อหนุนอยู่แล้ว คนที่มาพึ่งจึงเป็นคนที่อยากหนีเจ็บ ไม่เฉพาะชาตินี้ แต่เพื่ออนาคตชาติต่อไปด้วย เพราะเล็งเห็นแล้วเชื่ว่าตายแล้วต้องเกิดนั่นเอง
ถามใจดู หากไม่คิดเปลี่ยนพฤติกรรมทางสายนี้ก็ตันไม่ก่อเกิดผลอันใด จะทานเยอะทานนานก็ไม่มีวันประสพผล อย่างดีก็แค่ยืด หากอยากเป็นคนดี ทำตามธรรมคำสอน หลวงพ่อนิพนธ์ยกตัวอย่างพวกอัมพฤกต์ แค่มีจิตใจไม่อยากเบียดเบียนผู้อื่น อยากช่วยตนเอง แค่นี้ก็หายไปครึ่งแล้ว ไม่ใช่ทานสมุนไพรไป ใช้นิสัยไป ใครทำอะไรไม่ทันใจก็น้อยใจ ด่าว่า อ้างแต่บุญคุณกับลูกหลาน มึงไม่รักกู
ก็ขนาดคนไข้มะเร็งกระดูก หมอบอกต้องตัดเท้าทั้งสองข้างอย่างเดียว แล้วเข้าคอร์สคีโม ฉายแสง ฟังเข้าใจ แล้วทำ ไม่เคยสนใครเพราะสามีเป็นนายทหาร กลับมากระตือรือล้นวิ่งหามะพร้าวราคาถูกให้ เป็นจิตอาสา ไม่ถึงครึ่งปี หมอบอกว่าไม่ต้องตัดแล้ว เชื้อมะเร็งฝ่อตัวเล็กลงจนแทบปกติ
ทานสมุนไพรมานานๆ แล้วบอกว่าดีขึ้นแต่ไม่หายสักที ลองถามตัวเองดูซิ เดินผ่านก๊อกน้ำ สวิทช์ไฟ พัดลม เคยหันไปมองแล้วปิดให้หลวงพ่อนิพนธ์ เป็นการตอบแทนค่ายาหยอดตาไหม
หายโรคจึงง่ายนิดเดียว ขอเพียงมีความคิดให้สุขแก่ผู้อื่น เริ่มจากแม่ชีเมี้ยน พระพุทธ ครูบาอาจารย์ ทานสมุนไพร มีสติรักษากรรมฐาน และใช้สิ่งที่ได้คืนมา ฝึกระลึกคุณด้วยการเป็นหูเป็นตา ทำให้โดยไม่หวังผลบ้างตามกำลัง
เมื่อคุณคือคนดี เดินตามรอยธรรมคำสอน หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า คนเหล่านี้ทำสิ่งที่แตกต่างจากคนทั้งโลก เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วทำ อยากรู้นัก ขนาดกรรมยังกลัว แล้วโรคอะไรจะมาเหลือ ต่อให้โรคเอดส์ที่คนทั้งโรคกลัวกันนักกันหนา ถ้าคนผู้นั้นทำได้ ก็ต้องเผ่นป่าราบ
ความยาก จึงอยู่ที่การทำแล้วไม่เห็นผลจากสิ่งที่ทำ อุปมาซื้อกล้วย จ่ายตังค์ได้กล้วย แต่ซื้อมะพร้าวมาทำสมุนไพรให้คนอื่นกิน ซื้อแล้วเดินตัวเปล่ากลับบ้านมันทำใจยาก
เรื่องของโรค และสมุนไพร เน้นตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน เกิดวิกฤตเท่านั้น เพื่อให้มีเวลาในการสร้างพฤติกรรม แล้วเอาผลการกระทำแห่งบุญมาหล่อเลี้ยงชีวิต