นั่นหมายถึง แทนที่จะทำตนในการช่วยคน กลับใช้นิสัยตน ทำตนดุจเป็นกำแพงกั้น ไม่ให้ผู้ทุกข์ยากที่ดิ้นรน เพื่อที่จะมาทางรอด หวังพึ่ง แม่ชีเมี้ยน พระภูมี และหลวงพ่อนิพนธ์ เกิดทิฐิ จนทิ้งเส้นทางสายนี้ไปเสีย
มันจึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ทั้งผู้เป็นเจ้าหน้าที่ และผู้ที่มา
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวเสมอว่า สิ่งเดียวที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ นั่นคือ การใช้ความอดทน และเชื่อว่าเป็นกรรมที่มาเป็นมาร ทำให้กีดขวางในการมาพบสิ่งดีๆ
เราจึงอยากเสนอแนะว่า หากปัญหาที่มีมันใหญ่ เรียกว่า เจ้าหน้าที่ทั่วไปคงยากตัดสินใจ หรือให้ความคิดเห็นได้ ควรขอคำปรึกษา จากบุคคลที่สามารถตัดสินใจได้ อาทิเช่น คุณดา หรือ หลวงพ่อนิพนธ์ โดยตรง จะเป็นการดี ที่จะหลีกเลี่ยงเจ้าหน้าที่เหล่านั้น
และอยากจำลองภาพวัดที่แท้จริงมาให้พิจารณา จากคนรุ่นก่อน ที่เราคิดว่า ทำให้คนรุ่นหลังได้คิด นั่นคือ ภาพของวัดพระแก้ว ที่หน้าโบสถ์ จะมียักษ์ตัวใหญ่ ยืนตระหง่านอยู่
ในความคิดเรา นั่นเป็นคำบอกของคนรุ่นก่อนว่า หากจะเข้าโบสถ์ไปหาพระประธาน จะต้องผ่านมารผจญเสียก่อนนั่นเอง
แต่เมื่อครั้นมาถึง เมื่อพบเจ้าหน้าที่บางคน ก็ต้องผงะ หรือพูดง่ายๆ คือ รับไม่ได้
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกล่าวเสมอว่า ปัญหาเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นจุดอ่อนอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับทำให้คนคนนั้น สูญเสียโอกาสในการกอบกู้ชีวิต
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เป็นเหตุที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้หมด เพราะเจ้าหน้าที่ที่มาทำงานนั้น เป็นจิตอาสา ไม่มีเงินเดือน นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้คนเหล่านั้น ที่ยังไม่สามารถควบคุมสติ อารมณ์ ความคิด จิตใจ ให้อยู่ในร่องธรรมได้ ดั่งปณิธานที่ตั้งมา
ปัญหาที่พบบ่อย ก็เช่น ต้องไปทำงานต่างจังหวัด หรือ ต่างประเทศ นาน่หลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ทำให้มาไม่ได้ จะทำอย่างไร
อย่างน้อยผู้ที่มา ก็ควรเตรียมใจไว้เผชิญกับยักษ์บ้าง จะได้เอาตัวรอดมาถึงพระประธานได้