หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ชี้ให้เห็นรูปแบบแนวทางของสมุนไพรสูตรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จะให้ผลสูงสุด มีลักษณะเช่นไร
อันเป็นเหตุที่ว่า ทำไมแม่ชีเมี้ยนจึงไม่กลัวว่า คนที่จะมาลักขโมยสูตรสมุนไพรไปทำ
ด้วยเหตุที่ประสิทธิภาพหรือผลอันสูงสุด เกิดจากเคล็ดอันเดียว คือ "การให้" นั่นเอง
ด้วยเคล็ดอันนี้เอง จะเป็นการเสริมสร้างสมุนไพร ที่อุปมาเหมือน ดินธรรมดา ที่นำมาปั้นรูป กลายเป็นพระ
การทำให้ดิน ที่แปรรูปมาเป็นพระ ให้มีความเป็นพุทธคุณ ก็โดยการผ่านการปลุกเสก ฉันใดก็ฉันนั้น สมุนไพร ธรรมดา ก็ไม่มีฤทธิ์ในการรักษาโรค จึงต้องผ่านการปลุกเสก ให้กลายเป็นสิ่งศํกดิ์สิทธิ์เหมือนเครื่องลาง จึงมีสรรพคุณในการช่วยให้รักษาโรคได้ ฉันนั้น
ความอยากลำบาก นั่นคือ องค์ประกอบในการปลุกเสก ที่ผ่านเคล็ดการให้นี้ ไม่ได้เกิดจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพียงฝ่ายเดียว จึงเป็นผล นั่นจึงเป็นเหตุให้ แนวทางนี้ยากเย็นแสนเข็ญ หากขาดความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว โดยผ่านการพิจารณาเหตุผล แล้วเกิดเป็นศรัทธา ในสิ่งเดียวกัน คือ ธรรมคำสอนของพระภูมี แล้วนำมาปฏิบัติ
องค์แรกที่นับว่าเป็นผู้เสียสละ นั่นคือ ผู้ทำ ที่ต้องรับผิดชอบ มากกว่าส่วนอื่นๆ เพราะไม่เพียงแต่ต้องทำให้ ยังต้องพูดให้คนเชื่อ และศรัทธา พิจารณาเหตุผล แล้วมาเดินตามรอยพระภูมี
ถึงกระนั้น สมุนไพรก็ยังมีฤทธิ์เพียงส่วนเดียว เจอโรคเบาๆ ก็พอไหว เจอหนักๆ ก็ไม่ไหวเอาไม่อยู่เหมือนกัน
องค์ที่สองที่ต้องมีส่วนร่วมตามมา พระภูมีทรงให้เคล็ดว่า "ตนพึ่งตน" นั่นคือ อันได้แก่ผู้ทาน ต้องเรียนรู้ พิจารณาเหตุและผล ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังจากไหน สรุปมาเพื่อสร้าง ความเชื่อ ความศรัทธา ร่วมในการปลุกเสกสมุนไพร
ประเด็นนี้หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสอนทุกครั้งว่า ถ้าเป็นพืชอยู่ในป่า จะเดินเหยียบก็ไม่เป็นไร หากแต่เมื่อถูกแปรรูปกลายมาเป็นสมุนไพร แล้วผ่านการปลุุกเสก จากผู้ทำ จากการสวดมนต์ของตน แล้ว สิ่งที่่ต้องทำ จะเหมือนเดิมไม่ได้เลย เพราะของต่ำช่วยใครไม่ได้ เมื่อสมุนไพรกลายเป็นของสูง กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงอยู่ในสถานะที่ต้องกราบไหว้ เพื่อร้องขอให้ช่วยตน เฉกเช่นพระปลุกเสกแล้ว เราท่านร้องขอให้คุ้มครองแคล้วคลาดปลอดภัย
แถมยังมีรายละเอียดเล็กน้อยสำหรับผู้ทานอีก นั่นคือ ต้องมีคุณสมบัติของการเป็นผู้ให้อีกต่างหาก
องค์สุดท้าย นั่นคือ ที่มาของสมุนไพร ยังต้องมาตามเคล็ดของพระภูมีด้วยเช่นกัน นั่นคือ ควรจะมาจากการให้
เราท่านจึงไม่เคยเห็นวัดในอินเดีย หากแต่พระภูมีไปที่ใด ที่นั้นจะมีโรงทานตั้งอยู่ ด้วยเคล็ดอันนี้ จึงเป็นที่มาของโรงทานนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า ดูผลของยามะพร้าว ที่มาจากการซื้อ กับผลของยามะพร้าวที่มาจากการให้ ของชาวชุมพร ที่จะให้ผลต่างกันมหาศาล
หลายคนที่มักถามเจ้าหน้าที่ ว่าทำไมไม่ตั้งกล่องรับบริจาค ก็เพราะเงินทำให้เกิดกิเลส พระของพระภูมี จึงไม่รับเงิน หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเสมอว่า ไม่ต้องนำเงินมาให้หรอก เพียงแค่ทุกครั้งที่มา ถือมะกรูดมาหน่อย มะนาวมานิด มะพร้าวสักสองลูก พริกไทยหน่อย ดีปลี หรือแม้กระทั่งพริก ติดมือมาคนละหน่อย แล้วนำมาให้ท่านทำสมุนไพรแจก เคล็ดอันนี้ก็จะสมบูรณ์ ฤทธิ์ของสมุนไพรก็จะมหาศาล เพราะมีจุดเริ่มทั้งหมดมาจากการให้ นั่นเอง
แต่จนบัดนี้ ภาพที่ตอกย้ำทุกวัน นั่นคือ เมื่อมองไปยัง มูลนิธิขุนรัตนาวุธ ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน มีโลงที่คนมาบริจาคกองจนเต็มโรงเก็บ แถมล้นแล้วล้นอีก หากแต่พื้นที่เล็กๆ ที่รอรับสมุนไพรเพื่อมาทำแจก ใช้กอบกู้ชีวิตคนเป็น กลับไม่เคยเลยที่จะเต็ม
เราก็ต้องแปลกใจและไม่เข้าใจ ว่านี่มันเมืองพุทธจริงหรือเปล่า หรือคนที่มาไม่ได้เป็นผู้ป่วย ผู้ทุกข์จากโรคภัยจริง จึงไม่มีค่าพอให้ร่วมด้วยช่วยกัน ทั้งที่เห็นกันเต็มตา ได้ยินกันเต็มหู
แล้วสมุนไพรเมื่อไหรจะมีฤทธิ์เต็มที่ ทันกับโรคนานาชนิดทีกระหน่ำมากันยังกับพายุ
ช่วยคนเป็น ไม่ดีกว่าช่วยอย่างอื่นหรือ จึงทำให้พื้นที่สมุนไพรมันไม่เคยเต็มสักครั้ง น่าฉงนจริงๆ
คำตอบก็มาถึงบางอ้อ เมื่อฟังหลวงพ่อนิพนธ์กล่าว "ก็มันดูเล็กน้อย ไม่มีชื่อติด ไม่มีตราตั้ง คนมันจึงมองข้าม"