ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556
จดหมายน้อย แต่ไม่น้อย
วันพฤหัสที่ผ่านมา มีจดหมายน้อยฉบับหนึ่ง เขียนมามอบให้หลวงพ่อนิพนธ์
ก็เหมือนจดหมายธรรมดาทั่วไป แต่มันไม่ธรรมดา ก็ด้วยเหตุที่ว่า จดหมายฉบับนี้เขียนมาจากคนไข้ที่อดีตเป็นคนตาบอดนั่นเอง
ผู้เขียนเป็นหมอ เขียนจดหมายนี้ให้หลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อบอกว่า ตอนนี้เธอสามารถมองเห็นและเขียนหนังสือได้แล้ว จึงเขียนจดหมายมาเล่าที่มาที่ไปของอาการของเธอ ให้เพื่อนสมาชิกได้ฟัง
คุณหมอหญิงเขียนเล่าว่า เธอป่วยเป็นโรคที่คนทั่วไปไม่เป็นกัน เรียกได้ว่า หนึ่งในล้าน เท่านั้น นั่นคือ โรคแพ้ภูมิต้านทานของตัวเอง ภาษาทางการแพทย์ คือ NMO
อาการที่ปรากฎ จะเริ่มจาก ผลที่ปรากฎต่อประสาทการมองเห็น นั่นคือ ทำให้ตาของเธอค่อยๆมืดลง และเมื่อถึงระยะหนึ่ง อาการจะลามไปปรากฎที่ไขสันหลัง ผลก็คือ เมื่ออาการปรากฎ จะเสียการทรงตัว
หลังจากผ่านการรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันมาหลายปี อาการท้ายสุด นั่นคือ ตาของเธอบอด อันเนื่องมาจาก แพทย์ใช้เสตียรอยด์ฉีดที่ตา เพื่อช่วยให้มองเห็น แต่ท้ายที่สุด เสตียรอยด์ ส่งผลให้ประสาทตาขาด ทำให้ไม่สามารถมองเห็น หมอลงความเห็นว่า คุณหมอต้องตาบอดไปตลอดชีวิต
และก่อนหน้าที่จะเสียตา อาการที่ปรากฎในการเสียการทรงตัว เกิดขึ้น ๑๒ ครั้ง ทำให้เกิดโรคแทรก นั่นคือ การผวาจากอาการนี้ ทำให้ไม่กล้าที่จะไปไหนมาไหน จนในที่สุดอาการของเธอจากอาการที่ไขสันหลัง ก็ทำให้คุณหมอต้องนั่งรถเข็นในที่สุด
คุณหมอเล่าว่า คณะแพทย์ที่ทำการรักษา ลงความเห็นว่า อาการของคุณหมอ จะค่อยๆ ทวีความรุนแรงเรื่อยๆ และคงอยู่ได้อีกประมาณ สองปี
พรรคพวกของคุณหมอ จึงแนะนำให้มาลองแนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ของหลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
คุณหมอ มาเข้าคอร์สของหลวงพ่อนิพนธ์ ได้เจ็ดเดือน มาวันนี้ คุณหมอกลับมาเดินได้ ไม่มีอาการเสียการทรงตัว และกลับมามองเห็น สามารถเขียนหนังสือได้อีกครั้ง จึงเขียนจดหมายน้อย มาให้หลวงพ่อนิพนธ์ ได้อ่านให้เพื่อนสมาชิกฟัง
หลวงพ่อนิพนธ์ บอกว่า สิ่งนี้แหละจะทำให้คนที่มาทีหลัง เกิดความเชื่อมั่น และศรัทธา มั่นใจในการเดินแนวทางสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน ที่ซึ่งมีค่ายิ่ง
นี่แหละจึงเป็นสิ่งมีค่าสูงสุด ที่ควรทำ เรียกว่าทำตนเป็น "พระมาลัยโปรดสัตว์" ทำให้สมุนไพรได้รับการยอมรับ และเป็นทางเลือกแก่คนรุ่นหลัง
ดังนั้น หลังจากคนใดที่ช่วยตนจนหายแล้ว ไม่จำเป็นเลยที่ต้องนำเงินมาถวาย เพราะนั่นไม่ใช่จุดประสงค์ สิ่งที่อยากได้นั่นคือ ทำให้ประวัติของตน เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ไม่ใช่เอาตัวรอดคนเดียว
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวกับคนที่มาทานสมุนไพรแล้วหายมะเร็ง ที่ถวายเงินหนึ่งแสนบาทแก่ท่านว่า เอาเงินกลับไปเถิด แล้วเอาประวัติของตนที่ผ่านมาสี่ปี ที่ใช้ในการทานสมุนไพร และเหตุต่างๆ ที่ต้องผจญ และอาการที่ปรากฏ รวมทั้ง วิธีการความคิดที่ตนเองใช้ จนประสพผล ทำให้มะเร็งระยะสุดท้ายที่ลามไปทั่วตัว นั้นสามารถหมดไป