ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
ทำกับ เลิกทำ
หลักพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์พูดเสมอ มันฝืนนิสัยคน คนไม่คุ้นชิน จึงไม่แปลก ไม่ว่ายุคสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ใด คนชอบมีมากมายแต่คนทำได้มีน้อย
บทเริ่ม หลายคนเจอเข้าก็หงายเก๋ง ด้วยคำที่ว่า “อยากได้ต้องทำเอง หรือ ใครทำใครได้” มิแปลกใจเลยที่ฟังเสียงบ่นเสียงด่าจนชินชา คนป่วยก็แย่อยู่แล้ว ดันเสือกต้องให้มาเอง มาแล้วแทนที่จะรีบแจก ดึงไว้ขายของหละสิ แทนที่จะแจกเยอะให้นิดเดียว ไม่รู้หรือว่าคนเขาเสียค่ารถ ค่ารามา งานการก็ไม่ได้ทำ ... มากมายคณานับ ฟังมาเยอะ แลเลยไปแม้กระทั่ง จะให้เขามากันทำไม ไหนบอกว่าแจกฟรี ก็บอกสูตรให้ไปทำกินเองเลยสิ
แค่การมาก็สร้างปัญหาให้คนเหล่านั้นมหาศาล แต่ถ้าไปหาหมอ ไม่เคยบ่น ไปหาหวย แค่ไหนไกลสักเท่าไร ก็ไปได้ นี่มาหาชีวิตน่ะ ไหนบอกชีวิตสำคัญ ก็คนที่เคยไปหาก่อนหน้า เขาช่วยไม่ได้ใช่ไหม แต่เขาบอกอย่างไรก็ทำตามทุกกระเบียด พอมามูลนิธิ ทำแล้วช่วยตนได้ กลับมีเงื่อนไข มีโน่นนี่นั่น นี่แหละอำนาจกรรม หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักบอก คนพวกนี้เหมือนผีสิง จะเข้าเขตวัด ผีในตัวมันกลัว เพราะถ้าเข้ามาได้มันก็อยู่ไม่ได้ ต้องไป จึงสร้างความเห็นความจำเป็น จะได้ไม่มา
ครั้นผ่านด่านการเข้ามาแล้ว หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เคยถามตัวเองไหม ที่มามาหาใคร หาแม่ชีเมี้ยน ใช่ไหม ท่านก็ยินดีต้อนรับ ให้โอกาสทุกตัวคน มาเรียนคำสอน มารับสมุนไพร ไว้ช่วยตน ไม่เคยปฏิเสธ ไม่เคยไล่ แต่พอมานานเข้า คนส่วนใหญ่ก็ลืม ว่าที่ตนมา มาทำไม มาทำอะไร อำนาจกรรมจึงมีช่อง อาศัยนิสัยตน ของคนเหล่านั้น ฟังเสียงคนนั้น ดูคนโน้น แล้ววิพากษ์วิจารณ์ ในที่สุด เกิดความคิด ความเห็น แล้วก็เบื่อ โทษคนนั้น คนนี้ พากายตนกลับออกไป ไม่คิดเลยว่านั่น กรรมของตนทำมา อาศัยคนผู้นั้น นิสัยแบบนั้น ย้อนมายังตน ท้ายที่สุด อุตส่าห์มาถึง ก็ต้องหลุดออกไป
รวมไปถึง คนที่ขาดพิจารณา ทานสมุนไพรไปเกิดอาการของโรค ที่สมุนไพรคุ้ยเขี่ย เพื่อฟื้นฟู ก็โทษสมุนไพร ทิ้งไปก็มีเยอะ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่สำคัญ คือการฟัง แล้วพิจารณา ให้เกิดความเข้าใจ ที่ถูกต้อง ว่าเรานั้น “สู้กับกรรม ไม่ใช่โรค” การจะมาหรือยืนระยะ ใช้หลักเหตุหลักผล มาหาแม่ชีเมี้ยน เป็นเรื่อง “หนึ่งต่อหนึ่ง” คนอื่นไม่เกี่ยว ช่วยตนของเราไม่ได้ ไม่ควรมาดู มาฟังผู้อื่น อันเปิดช่องให้กรรม ทำให้เกิดความคิดความเห็น มาเพื่อดับทุกข์ จะไปก็เมื่อทุกข์ดับ อย่าไปหรือมา ด้วยคนนั้นคนนี้ หนทางประสพผลจะห่างไกล หรือเป็นไปได้ยาก ไม่ชอบคนนั้นกูไปแล้ว ไม่ถูกชะตาคนนี้ กูไม่มาแล้ว
หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้สติ พิจารณาน่ะ “เวลาเจ็บ เจ็บคนเดียว เวลาตาย ตายคนเดียว ผู้อื่นมาทำให้ไม่ได้ จะมาทำลายเราก็ไม่ได้ นอกจากตัวของเราเอง”
หลายคนโทษคนนั้น คนนี้ แท้ที่จริง ตนของตนนั่นแหละ ทำลายตนเอง การกระทำของผู้อื่น เขาทำเขาก็ได้ เจ้าหน้าที่บางคน หลายคนบอกปากหมา สันดานต่ำ เขียนโพสต์ด่ากัน นั่นเขาทำเขาได้ แต่เราท่านทำอะไร นั่นเราท่านได้ มาหาแม่ชีเมี้ยน แต่กลับไปฟังผู้อื่นแล้วไม่มา นั่นตนทำตนเอง แต่กลับโทษแม่ชีเมี้ยน บอกที่นี่ไม่ดี จะถูกหรือ
ที่สำคัญ ไม่เชื่อหรือ เราท่านก็มีกรรม เจ้าหน้าที่ก็มีกรรม .... มาวัด เขาเรียกเขตอภัยทาน ด้วยรู้ว่าต่างคนต่างมีกรรม หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนให้เอาเมตตา ให้อภัยเป็นที่ตั้ง เมื่อไม่ทำตามคำสอน จึงด่ากันไปด่ากันมา จะกราบแม่ชีเมี้ยนสักฉันใด ก็ไร้ผล เพราะขาดตนทำ ไม่มีสติลดกิริยาของตนเลยแม้นแต่สักน้อย ช้าเร็ว ก็หลุดลอยตามกระแสกรรม หาผลไม่ได้ทั้งสองฝ่าย
แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสชี้ว่า “ธรรมยุคนี้ เป็นธรรมสามัคคี ต้องช่วยกันจึงประสพผล” ถ้าสองฝ่าย ตั้งอยู่บนคำสอนนี้ ฝ่ายหนึ่งขาดสติ อีกฝ่ายก็หยุด นั่นคือรอดทั้งคู่ แต่ถ้าทั้งสองฝ่าย จ้องแต่มองมึงนั่นแหละผิด ก็ฉิบหายทั้งคู่นั่นแหละ นี่แลหลวงพ่อนิพนธ์จึงพูดสอนเสมอ มาที่นี่ อย่าด่ากันน่ะ ให้อภัยกัน ช่วยกัน ให้สุขแก่กัน ที่ท่านอาสิชอบยกมาพูด
จะปฏิเสธสักฉันใด ถ้าคนผู้หนึ่ง ต้องออกจากศาสนา หรือเข้ามาไม่ได้ ด้วยคำแห่งเรา แล้วตายไป ว่าเราไม่เกี่ยว คงหนีไม่พ้นกรรมอันนี้แน่ ...
จะเอาแต่ชอบ ที่ช่วยคน แล้วปฏิเสธ ที่ฆ่าคน เป็นไปไม่ได้ นี่แลแผ่นดินศาสนา ทำถูกผลถูกก็มหาศาล ทำผิดก็ทวีคูณ เห็นคนทำผิด
หลวงพ่อนิพนธ์จึงว่า ควรที่จะสงสารคนผู้นั้น ที่โง่เขลา เบาปัญญา แผ่นดินนี้ควรมาเพื่อทำถูก ทำตามคำสอน ส่วนทำผิด ควรไปทำที่อื่นดีเสียกว่า
ทำหนึ่งก็ผิดหนึ่ง จะมาทำผิดหนึ่งได้ผิดร้อยในแผ่นดินศาสนา ตามนิสัยตนนั้นไม่ควร แต่ก็ต้องทำใจ พุทธประวัติว่าไว้ มีคนกล้า คนไม่กลัวกรรม พวกเทวทัตนั่นไง เราท่านเจอ ก็ควรอุเบกขา