ศาสนาของพระภูมี ละเอียดอ่อน เป็นศาสนาพิจารณาแล้วทำ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่าทำไม จึงเริ่มที่ความกตัญญู แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า เป็นศาสนาที่ต้องมีครู ไม่ใช่รู้เอง เพราะมีครูสอน จึงรู้ว่า ก ไก่ ข ไข่ เขียนอย่างไร เมื่อรู้แล้วต้องทำเอง เขียนเอง จึงเรียกตรัสรู้ นั่นคือ ทำจนรู้ ด้วยตนเอง สิ่งที่รู้จึงช่วยตนได้ ช่วยผู้อื่นที่เชื่อแล้วทำตามได้
จุดใหญ่ใจความของเนื้อหา จึงพูดแต่เรื่องกรรม เรียก “กรรมอุปาทาน” แล้วชี้ว่า “กรรมนี่แหละนำเกิด” วิชาที่เรียน จึงมุ่งไปที่ “นิสัย” ที่สร้างกรรมเป็นหัวใจ
ประเด็นก็คือ ตัวเรา เกิดเพราะมีกรรม จะมาบอกว่าตัวเราเป็นของเราโดยลำพังไม่ได้ เพราะไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ หากแต่ผูกกรรมกันมา สังขารตัวเรา ท่านชี้ว่า “กระดูกของพ่อ เลือดเนื้อของแม่” สิ่งที่เราท่านทำ ทุกสิ่งอย่างในศาสนา จึงส่งถึงพ่อแม่โดยอัติโนมัติจึงมีคำว่า เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นกว่าจะโตมา ย่อมต้องมีผู้อุปการะ ผู้อุปถัมภ์ มีเจ้ากรรมนายเวร อย่างแน่แท้ ที่การกระทำของเราท่านย่อมมีผลต่อคนเหล่านั้น
หลวงพ่อนิพนธ์แปลความให้ฟังว่า หมายความว่า ถ้าเราท่านมีความกตัญญู ย่อมต้องควบคุมพฤติกรรมเพื่อให้ผลที่ส่งไปแก่คนเหล่านั้นแลแก่ตน เป็นผลที่ดี นี่แลทำไมจึงต้องทำความดี แลตัวกระทำไม่ตาย เมื่อเราท่านเปลี่ยนสถานะเป็น พ่อแม่ ผู้อุปถัมภ์ ผู้อุปการะ เจ้ากรรมนายเวร ย่อมได้รับสิ่งเดียวกันกับที่ทำมาแล้วนั่นเอง
ครั้นวันนี้ มาหาศาสนาของแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์มักพูดเสมอ ให้กราบไหว้ แม่ชีเมี้ยน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ให้คำสอนเราท่านมาช่วยตน ส่วนตัวท่านไม่จำเป็น แต่ฟ้าดินเขาถือสา เพราะเป็นตัวแทน ใครกราบไหว้ย่อมหมายถึงจิตกตัญญู เป็นตัวเริ่มในการพยายามทำความดีนั่นเอง พูดง่ายๆเป็นเครื่องเตือนใจตนให้ทำดีนั่นเอง
แล้วถ้าไม่ทำหล่ะ ไม่กตัญญูหล่ะ จะไปทางไหน นั่นก็หมายความว่า สิ่งที่ศาสนาหรือหลวงพ่อนิพนธ์ให้ ไม่ว่าคำสอนหรือสมุนไพร รับมาแล้วทำให้กลับมามีกำลัง เป็นปกติได้ หากแต่เอาสิ่งที่ได้ไปทำบาปอีก คนที่ถูกกระทำย่อมฟ้องฟ้าดิน ไปช่วยเขาทำไม ฉันจึงถูกทำร้าย
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ท่านเป็นตัวอย่างให้ฟังว่าทำไมจึงต้องถูกตัดขา มิใช่กรรมของท่าน หากแต่คนที่ท่านช่วยเป็นเบาหวาน กำลังถูกตัดขา ท่านเมตตาช่วยเขา หวังว่าช่วยแล้วคงสามารถสอนให้กลับมาเป็นคนดีได้ ครั้นคนผู้นั้นหายเบาหวานไม่ต้องตัดขา มีสุขภาพดี แข็งแรง กลับเอาแรงที่ได้ไปปลุกปล้ำผู้หญิง ผลจึงย้อนมาหาท่านนั่นเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า คนทั้งหลายที่มา มาเพื่อให้ช่วย หากแต่ช่วยแล้ว ผลย่อมตกกับผู้ช่วยเป็นแน่แท้ กระไดกตัญญูจึงสำคัญยิ่ง หากคนผู้นั้นไม่มี ช่วยแล้วไปทำแบบชายที่เป็นเบาหวาน ช่วยแล้วเอาแรงที่ได้ไปให้ทุกข์ผู้อื่น ไปด่าเขา ไปเอารัดเอาเปรียบเขา ไปเบียดเบียนเขา ผลย่อมย้อนมาหาผู้ช่วยเช่นกัน
ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าช่วยแล้ว คนผู้นั้นเกิดกตัญญู ก็จะเปลี่ยนพฤติกรรมแห่งตน ให้เป็นคนดีตามคำสอน เพื่อให้ผลดีย้อนกลับไปหาผู้ช่วยเพื่อตอบแทน
จึงอย่าแปลกใจเลย คนที่กตัญญูจึงมักเริ่มที่การกราบไหว้ แล้วก็มุ่งมั่นดำรงวินัย ตั้งปณิธานจะเป็นคนดี คนผู้นั้นจึงสงบเงียบ ปฏิบัตตามคำสอน มุ่งให้สุขแก่ผู้อื่น จากแรงที่ได้มาตามที่ตนพอทำได้
ภาพที่ปรากฎ เราท่านจึงสูญเสียหลวงพ่อนิพนธ์ไป เพราะคนส่วนใหญ่ หายแล้วก็กลับไปสร้างกรรมเหมือนเดิม ท่านจึงพูดว่าเข้าตำรา “ช่วยเขาแล้วเราตาย” วันนี้ ก็ยังคงเป็นแบบเดิม คนส่วนใหญ่ ไม่เชื่อกรรม ไม่คิดจะทำตนเป็นคนดี ไม่แม้นจะหยุดสักชั่วโมงนาที แสดงกตัญญู หยุดว่าร้าย หยุดนิสัยตน ชั่วครู่ชั่วยามไม่มีเลย
เราจึงสงสัยว่า ไม่ต้องท่านอาสิ เอาแค่คนที่เขามาช่วย ทำยา เก็บใบยา เอามะพร้าวมา เอามะกรูดมา มุ่งหวังช่วยคน ให้พ้นโรค ให้เป็นคนดี หวังว่าผลแห่งการกระทำของเขาจะได้ผลบุญผลกรรมดีมาช่วยตน แต่ความเป็นจริงสงสัยจะได้ตัดขาแบบหลวงพ่อนิพนธ์ซะมากกว่า เพราะคนที่ช่วยเขาไม่กลัวกรรม ไม่คิดจะเป็นคนดี ลานบุญของแม่ชีเมี้ยน ที่ควรจะเห็นรอยอดีตครั้งพุทธกาล ที่คนลดกิริยา สงบ ไม่มีเสียงพูด มีแต่เสียงสวดมนต์ มีแต่เสียงธรรมคำสอน มันจึงกลายเป็นเสียงตลาดแตก คนทั้งหลายมาบรรเลงแต่นิสัยตน ติคนนั้น ว่าคนนี้
คำถามก็คือ ควรที่จะทำต่อ หรือทำไปทำไม ...
บังเอิญท่านอาสิมีเมตตา ให้โอกาส แต่เราเห็นว่า วันหนึ่งก็ต้องเปลี่ยน. เลือกเฉพาะคนที่อยากได้ ทำได้ ดีกว่าไหม คนที่มาอาสา มาช่วย เอามะกรูด มาให้ เขาจะได้รับผลจากผู้กตัญญูทั้งหลาย ที่รับแล้วทำตนเป็นคนดี หรือจะรอให้เสียท่านอาสิไปอีกคน ฤา สถานที่แห่งนี้ต้องปิดเพราะไม่มีคนทำ ไม่มีคนอยากเป็นคนดี ไม่มีคนกตัญญูรู้คุณ แล้วจะทำไปทำไม ปิดให้ท่านอาสิ ยังคงอยู่ ไปทำสำนักสงฆ์อย่างเดียวดีกว่า ย้อนรอยแม่ชีเมี้ยนดีกว่า ใครอยากหายโรค บวชได้ไหม ไม่ได้ก็กลับบ้านไป บ้านใครบ้านมัน
ไม่ใช่ใจร้าย ขาดเมตตาแต่เพราะคนทั้งหลายไม่เชื่อว่า “โรคเกิดจากกรรม เปลี่ยนโรคต้องเปลี่ยนนิสัย” และบทเริ่ม คือความกตัญญู
ก็ทางโลกเขายังว่า กตัญญูพ่อแม่ “ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้” เลย นี่ศาสนา นี่พระพุทธน่ะ ถ้าไม่เอา ไม่ทำ ก็บ้านใครบ้านมัน ถ้าไม่คิดจะให้สุขย้อนไปยังครูบาอาจารย์ ก็ไม่ควรให้กรรมของตนย้อนไปให้ท่าน
คนเขามา เห็นพฤติกรรม เขาไม่ว่าเราท่าน แต่เขาจะว่าเจ้าอาวาส นี่หรือคนที่ท่านอยากช่วย ถามสักนิด ช่วยคนอกตัญญูทำไม ให้มีแรงไปสร้างบาปสร้างกรรม ปล่อยมันตายไปดีกว่าไหม
แลมองเลยไปข้างบน แม่ชีเมี้ยน พระพุทธ ก็ย่อมน้ำตานอง นี่หรือคนที่ท่านช่วย