แม่ชีเมี้ยนตรัสชี้ว่า หลักของพระภูมีทรงค้นพบ ความจริงของจักรวาล คือ “ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ทำสักฉันใดไม่ตายเลย”
หลวงพ่อนิพนธ์อธิบายว่า นั่นหมายความว่า สิ่งที่เราท่านทำในวันนี้ จะเป็นเหตุ แลส่งผลรอเราท่านอยู่วันข้างหน้า
เมื่อถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงทานเนื้อสัตว์ ไม่บาปหรือ
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า สัตว์ก็มนุษย์นั่นแหละ ถ้าเป็นมนุษย์มีหัวใจธรรม ตายไปก็เกิดเป็นมนุษย์อีก ถ้าไม่มีก็ตกในร่องกรรมตายไปก็เป็นสัตว์ จึงเห็นได้ว่า เมื่อเป็นมนุษย์เบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป เมื่อกลายเป็นสัตว์ก็ต้องมาใช้
คำถาม คือ เอาอะไรมาใช้เมื่อเป็นสัตว์ ท่านก็ชี้ว่า ทำอย่างไรได้อย่างนั้น เป็นวัวเป็นควาย ก็เอาแรง เอาเนื้อมาใช้เขา เป็นหมู เป็นเป็ด เป็นไก่ ก็เอาเนื้อมาใช้เขา นี่แหละ แม่ชีเมี้ยนชี้ว่า ไม่สงสัยหรือ ทำไมเราท่านจึงมีสัตว์กิน ไม่รู้จบรู้สิ้น เอาวิญญาณที่ไหนมาเกิดให้เราท่านกิน
คนไม่รู้ก็บอก ตายแล้วขึ้นสวรรค์ ตายแล้วสูญ ไปสุขคติ แล้วสิ่งที่ทำไว้เล่า นั่นแลสร้างตัวเกิด สร้างสังขารรอเราท่านอยู่วันข้างหน้า
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนสงฆ์ว่า เมื่อเราทานก็พึงทานให้หมด เมื่อเราฆ่าเอามาเลี้ยงตน ก็ควรแต่พอดี มิใช่กินปลาสามตัว ฆ่ามาห้าเหลือทิ้ง สามตัวที่เลี้ยงชีวิต นั่นมีบาปก็แต่น้อย แต่สองตัวที่เหลือ นั่นเบียดเบียนสัตว์จนเกินไป แทนที่เนื้อเขาจะได้ใช้กรรมที่ทำมา ก็ไม่ได้ ไปเกิดเป็นปลามาใช้เนื้ออีก นี่เราท่านต้องรับ
บทสรุป นี่แลกรรมเราทำไว้ อย่าคิดเชียวหนา ตราบใดที่ยังมีกิเลสมีนิสัย วาดฝันตายแล้วได้ไปสวรรค์ ดูเป็ด ดูไก่ ไว้ วิญญาณใครมาเกิด จึงไม่แปลก หลวงพ่อนิพนธ์บอก เมื่อเราเจอศาสนา เราก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่ คนที่เรารัก ต้องเกิดเป็นสัตว์หรือไม่ เราจึงปรารถนาว่า ถ้าพวกเขาเกิดเป็นสัตว์ก็ขอให้เกิดในเขตอภัยทานของศาสนา เราท่านก็มาเลี้ยง ให้อยู่ครบอายุขัย หมดกรรมจะได้เกิดเป็นมนุษย์ ไม่ต้องถูกใครจับใครฆ่า
จะพึงทำสิ่งใด แม่ชีเมี้ยนจึงให้สติเตือนใจขันติสงฆ์เสมอว่า “พิจารณาน่ะ กรรม กรรมจำไว้ให้ดี” แม้นแต่ทุกข์ของเราท่านในวันนี้ คือโรค นั่นเราทำไว้แล้ว จะปฏิเสธสักฉันใด ย่อมไม่พ้น นี่แหละหลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า โลกนี้ไม่มียารักษาโรค จะมารักษาโรค ไม่เอาเจ็บ ไม่เอาปวด หายแบบเดินบนกลีบกุหลาบ ที่นี่ไม่มีให้ คนที่จะหายต้องเป็นคนจริง ยอมรับในสิ่งที่ตนได้ทำ แม้นไม่รู้ว่าทำมาเมื่อไหร่ แต่เมื่อผลมาถึง นั่นย่อมเป็นของเราทำไว้ ไม่ใช่ฟ้ากลั่นแกล้งแน่นอน