แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ศาสตร์ของพระภูมี มีพระพุทธเจ้าทำรอยไว้ แล้วชี้ให้คนเดินตาม อยากได้ต้องทำเอง
จึงเห็นได้ชัดว่า ไม่จำเป็นต้องรู้มาก ไม่จำเป็นต้องรู้ก่อน เพียงแต่พิจารณา หากเชื่อ แล้วก็ลงมือทำเลย นักธรรมเอก นักธรรมโท อะไร จึงไม่มีความจำเป็นต่อการสร้างบุญ สร้างทาน ของพระพุทธศาสนาแม้นแต่น้อย
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า รู้ไปก็เท่านั้น มีแต่เอาไว้เอ่ยอ้างข่มกัน ที่สำคัญ บุญทาน มิได้เกิดจากการรู้ แต่เกิดจากการทำ ตามธรรมคำสอนของพระภูมี ตามรอยที่ทิ้งไว้ให้ต่างหาก
อันจักเห็นได้ชัดว่า คนที่รู้เรื่องศีล มีทั่วประเทศไทย แต่คนที่จะเดินตามรอยธรรม แล้วช่วยตนได้ มีสักกี่คนกันเล่า ทั้งๆที่ บุญญาธิการของศาสนานั้น เป็นที่ประจักษ์ นั่นคือ สามารถพาไปยังมรรคผล นิพพานได้ พ้นกรรม พ้นเกิด นี่แค่ทำเพียงเพื่อหายโรค รู้ธรรม ท่องเป็นวรรคเป็นเวร อธิบาย สาธยายเทศน์ฉอดๆ แต่ช่วยตนไม่ได้ เพราะไม่ทำนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า บุญของศาสนาของคนไทย สร้างไว้นั้นต้องยิ่งใหญ่ ต้องทำใหญ่ ต้องอลังการ สร้างวัดใหญ่ๆ สร้างพระใหญ่ๆ แต่แบบของพระพุทธเจ้า หาใช่เป็นเยี่ยงนั้นไม่ บุญทานของพระพุทธเจ้าสร้างจากสิ่งเล็กๆ เพื่อให้เกิดสติที่โตใหญ่ต่างหาก
ค่อยๆ ฝึกวันละนิด สติก็จักชำนาญ และโตใหญ่ พิจารณาอะไรก็สร้างบุญแก่ตนได้ อาทิ ขวดน้ำหนึ่งใบ ทิ้งไปก็เสียเปล่า หากสามารถสร้างสติ นำไปให้สุขแก่ผู้อื่น ก็เก็บมา แลหากพิจารณาละเอียดลงไปอีก หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ว่า พระพุทธเจ้าทรงค้นพบความจริงของจักรวาล นั่นคือ "ตัวกระทำไม่ตาย ทำอย่างไรได้อย่างนั้น"
เมื่อพิจารณาคำสอน ย่อมเห็นหนทาง เห็นรอยบุญของพระพุทธเจ้า หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ว่า ก็แล้วสิ่งที่เราทำให้ผู้อื่น ทำไมไม่ทำให้ขาวสะอาด เพื่อสร้างสุขแก่ผู้อื่นเท่าที่จะทำได้เล่า ขวดใบนั้น ก็จึงถูกนำไปล้าง คว่ำเก็บให้แห้ง แล้วเก็บใส่ถุง นำมาใส่สมุนไพรให้คนป่วย
ก็จักเทียบให้เห็นว่า โบสถ์วิหารที่โตใหญ่ พระพุทธรูปที่ใหญ่โต มูลค่ามหาศาล ขวดใบน้อยเทียบไม่ได้เลย แต่สิ่งเหล่านั้น ให้สุขแก่สรรพสัตว์อันใดบ้าง แค่เจริญหูเจริญตา จิ้งจกยังเข้าไปอาศัยไม่ได้เลย พระนั้นเล่าก็นั่งนิ่ง สอนสั่งก็ไม่ได้ จักให้เป็นที่สงบ คนที่ไปกราบไหว้ ก็หาทำกันไม่ ไม่มีการลดกิริยา ลดอะไรของตนลงได้เลย พิจารณาแล้วหาคุณค่าได้น้อยนิด แต่ขวดใบน้อยด้อยราคา ถ้าไม่มี คนทุกข์จะมีสมุนไพรทานได้กระนั้นหรือ คนทุกข์จะหายทุกข์จากโรคที่ตนเป็นได้กระนั้นหรือ
จึงไม่แปลกที่หลวงพ่อนิพนธ์ยืนยันว่า เชื่อเถอะขวดใบน้อยก็ทำให้หายโรคได้ ด้วยเดินตามรอยของพระภูมี "ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัว"
บทสรุป ศาสนาของแม่ชีเมี้ยนต่างกับศาสนาแลคำสอนอื่นตรงไหน ก็ตรงที่ หิวข้าว อยากได้ข้าวมาประทังหิว ก็ต้องลงมือทำ มิใช่ ท่องบ่น หรืออ้อนวอน ให้ข้าวลอยลงมาจากฟากฟ้า ประทังหิว ที่ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ อ้อนวอนสักฉันใด ก็ไม่มีทางหายโรค แต่ถ้าลงมือทำ ใช้สติเท่าที่มี สร้างสุขให้ผู้อื่น ลดกิริยาลง บางสิ่งบางอย่าง ที่จะสร้างทุกข์ให้ผู้อื่น นั่นแล หนทางหายโรค ที่คนทั้งโลกไม่หาย จักเป็นไปได้
คนไม่รู้ ก็บอกว่า โรคเกิดจากเชื้อโรค คนไม่รู้ก็บอกว่า หายโรคด้วยสมุนไพร นั่นมันมั่ว เมื่อมันไม่รู้แล้วอ้างเอ่ย มันจึงไม่หายโรค มันจึงไม่เอามือทำ
ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า โรคเป็นบริวารกรรม เป็นอำนาจ สมุนไพรเป็นบริวารธรรม มีธรรมเป็นอำนาจ ต่างเป็นหุ่นเชิดทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครเห็นกรรม ไม่มีใครเห็นบุญ แต่สัมผัสได้ กรรมมันใช้ กรรมมันสั่ง ก็ทุกข์เวทนา เจ็บเจียนตาย บุญส่งเสริม ก็หายทุกข์ หายเจ็บ หายโรค
ก็แล้วจะไปกันอย่างไรหนอ อยากจะกินข้าว อยากจะหายโรค แต่ไม่อยากทำ ... ดูรอยเขาบ้าง ขนาดครูบาอาจารย์ ยังต้องทำ ไม่มีวันหยุด แล้วเราท่านจะมาหายโรค แค่สวดมนต์ยังไม่สน กูจะคุย กูจะทำแบบนี้ ถามกรรมหรือยัง เขายอมหรือเปล่า
สติที่หลวงพ่อนิพนธ์มักเตือนสงฆ์เสมอว่า ก็ขนาดพระโคดม ที่ทรงเสด็จเดินมายังประเทศไทย ผ่านวัดคลองเม่า ยังโดนหนามไผ่ทะลุเท้า ต้องเอาใบไผ่พัน แล้วเดินมายังพระพุทธบาท แลไปหลบฝนที่ถ้ำกระบอกเลย ก็แล้วเราท่านเป็นใคร มีบุญสักปานไหน กลับประมาท กูจะเอาแค่นี้ พอแล้ว ไม่ทำแล้ว นี่เรียกไม้สูงกว่าแม่แล้ว พึงระวังจะแพ้ลมบนบ้างเน้อ หักกลางคันเอาง่ายๆ