วันนี้ไปจ่ายค่าไฟ แล้วก็มีค่าธรรมเนียม ๑๐ บาท เป็นเรื่องของการค้า และยินยอมของลูกค้าในบริการที่ได้รับ ครั้นเมื่อรับบิล และเงินทอน ถ้าดูในบิลก็จักเห็นว่า ๖๔๘.๘๖ บาท พนักงาน ก็ทอนมาให้ ๖๔๘.๗๕ บาท
ก็พอเข้าใจได้ว่า ไม่มีเหรียญสตางค์ จึงต้องปัดให้ลงตัว แต่นั่นก็หมายความว่า ผู้ที่มารับบริการต้องจ่ายเพิ่มให้แก่ผู้บริการ ใช่หรือไม่ นั่นมิใช่ประเด็นหลัก แต่ในบิลกลับเขียนว่า เงินที่ต้องจ่ายเกินไปนั้น ผู้บริการมีบุญคุณ เพราะเขียนว่า เป็นเงินส่วนลดพิเศษ
ไม่ได้เห็นผิด ไม่ได้คิดว่าใครโกงใคร แต่ทำให้เรานึกย้อนคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ว่าทำไมจึงกล่าวว่า "โรคเกิดจากกรรม"
หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้พิจารณาว่า คนทั้งหลายทั้งปวงมากมาย ต่างอ้างเอ่ยว่า ตนไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่เคยเบียดเบียนใคร ทำอาชีพสุจริต เคยแต่ช่วยเหลือผู้อื่นบริจาคมาตลอดชีวิต ทำไมบั้นปลายของตน จึงมาเป็นโรคร้ายนี้ได้ .. นี่ทำดีไม่ได้ดี
วันหนึ่ง หลวงพ่อนิพนธ์ชวนไปซื้อเหล็กเพื่อมาทำศาลา อาคารสวดมนต์ ซื้อเหล็กเส้น ตามมาตรฐาน เหล็กนั้นเส้นหนึ่งก็ต้องมีน้ำหนักประมาณ ๒.๒ กิโลกรัม ครั้นนำกลับมา หลวงพ่อนิพนธ์ก็ให้ลองสุ่มออกมาชั่ง ปรากฎว่า เหล็กช่างได้ ๒.๑ กิโลกรัม ทุกเส้นที่สุ่มออกมา
หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้พิจารณาว่า คนมันอ้างเอ่ยว่าไม่เคยทำบาป แต่หารู้ไม่ ไม่ว่าเจตนาหรือไม่ เหล็กที่นำมาขายนี้ ไม่เต็ม แม้นจะขาดไปนิดหน่อย ดูไม่เป็นไร คนซื้อไม่เห็นมีคนไหนโวยวาย หากแต่เมื่อนำไปใช้ ด้วยความที่มันตกมาตรฐาน อันตรายก็เกิดขึ้น แลผู้ที่จ่าย ก็จ่ายเงินครบ แต่ได้เหล็กที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ดูแล้วบิลเงินคนละไม่เท่าไหร่ แต่ทำไปทำไป หลายปีเข้า เงินจำนวนนี้ก็สะสม รายแล้วรายเล่า เป็นกำไรมหาศาลแก่คนขาย
นี่แลมันเป็นกรรมย้อนมา กำไรน้อยนิดแต่ไม่ควรได้ รวมกับอุบัติเหตุที่เกิด เมื่อคนนำไปใช้ บั้นปลายของคนค้าเหล็ก มันจึงหนีโรคร้ายไม่พ้น ทั้งที่ตนของตนคิดว่า ตนไม่เคยทำบาป
แล้วท่านก็พยากรณ์ว่า วันหนึ่งคนขายเหล็กนี้เป็นมะเร็ง แล้วมาหาท่าน จะรักษาโดยวิธีใด ... ผ่านมาผ่านไปหลายปี คำพยากรณ์นั้นก็เป็นจริง คนผู้นั้นเป็นมะเร็งมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ให้ช่วย
บิลวันนี้ของเรา ไม่ได้มากล่าวร้ายใคร แต่มาชี้ให้พิจารณาว่า ทำแล้วคุ้มกันไหม เงินเศษสตางค์ ที่คิดเกินไป ทั้งที่ก็คิดค่าบริการไปแล้ว นั่นก็กำไรมหาศาล เมื่อมารวมกันของบิลหลายล้านใบต่อเดือน คิดเป็นเงินทั้งปี บริษัทนี้อาจจะใช้เงินส่วนนี้จ่ายโบนัส โดยตนไม่ต้องควักสักแดง แล้วอาจมีกำไรเหลือก็เป็นได้
แต่นั่นแลกมาด้วยอะไร พนักงานก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ยิ่งบัญชีต้นคิดด้วยแล้ว จึงอย่าสงสัยเลย ฉันทำงานอยู่กับหน้าจอ อยู่กับตัวเลข ไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่เคยทำร้ายใคร แต่นี่แหละกำลังสร้าง ... พรหมลิขิต โรคร้าย รออยู่วันข้างหน้า
จะให้บอกว่า เป็นโรคร้ายเพราะเชื้อโรค มิใช่ มิใช่ แต่ศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ชี้ชัดว่า "ตัวกระทำ ที่เบียดเบียนผู้อื่น" นั่นแล คือ เหตุแห่งโรคที่แท้จริง
บทสรุป แม่ชีเมี้ยนเคยสอนฆราวาสว่า อย่าพึงคิด ว่าไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่เคยมีใครอ้างเอ่ย แต่ตัวกระทำไม่ตาย อะไรที่เกินเลย เบียดเบียนเขา นั่นเราสร้างไว้ มันจะย้อนมาหาตนของเราในวันข้างหน้า เรารับเงินเดือน ตอบแทนการทำงานวันละแปดชั่วโมง แต่ไม่มีใครดู ไม่มีใครเอ่ย เราทำแค่ ห้าหกชั่วโมง มาสายกลับเร็ว ทำไปทำมา ก็กายเจ็บ เป็นโรค ไม่รู้ว่าตนทำไมจึงเป็น แล้วก็โทษนี่นั่น ทำให้เป็น แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบหรอก ใช้ความคิด ความฉลาด เอาของเขามาวันนี้ วันข้างหน้า ก็ถูกเขาเอาไปเช่นเดียวกัน วันนี้มัดมือชก เอาเขามา ถึงวันเวลา หมอก็มัดมือชก เอาเงินไป ไม่เห็นหรือ หรือไม่อยู่ดีๆก็เสียทรัพย์
พิจารณาแล้วอย่าเมินเฉย อย่าอ้างเอ่ย ของที่ไม่ใช่ของเรา เอามาทำไม ได้ไม่คุ้มเสีย เห็นว่าเล็กน้อย น้ำหยดเดียว รวมกันมารวมกันไป จากวันเป็นเดือน เป็นปี หลายๆปี มันก็มหาศาลจมเราได้น่ะ
นี่ยิ่งแล้วใหญ่ เอาของเขา แถมยังมีบุญคุณ อ้างเอ่ยว่าลดให้ ให้คนเขาเข้าใจผิด ... อย่าพึงเลียนแบบอย่างนี้เลย นี่เขากำลังเดินตามรอยพ่อค้าเหล็กแล้ว
วันหนึ่งประวัติศาสตร์ย้อนรอย คนของบริษัทนี้ เจ้าของบริษัทนี้ อาจวิ่งมาหาท่านอาสิให้ช่วย ... ก็เจอคำถามเหมือนอดีตหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วจะช่วยได้โดยวิธีใด
วันนี้ มาเจอคำสอนของศาสนา ควรแก้เสียก่อนไหม ฤาจะรอเป็นโรคมา แล้วค่อยแก้ แน่ใจหรือ ว่าแก้ได้ นี่มันเจตนาชัดๆ กรรมครบเลย กาย วาจา ใจ ทำทั้งๆที่รู้ นี่แลปัญญามีใช้ในทางที่ผิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้า ....
ก็ถ้าจะทำ ก็พูดเขียนไปตรงๆ คนให้เขายินยอม อโหสิกรรมกัน จะได้ไม่เป็นเวรเป็นกรรมกัน อย่าใช้เล่เหลี่ยมพลิกแพลง กว่าจะรู้ ผลทุกข์ก็เกิดกับตนของตนแล้ว นอนไส้บิด นอนปวด ร้องโอยๆ แล้วจะร้องให้ใครช่วย