คนทั้งหลายเกิดมาส่วนใหญ่ย่อมมีผู้เลี้ยงดูตนมาแต่น้อยจนเติบใหญ่
ด้วยการเลี้ยงดูนี้เอง โดยเฉพาะคนไทยถือว่าเป็นความรับผิดชอบที่ต้องมีต่อตน ตลอดไปและตลอดกาล
หลายคนจึงมักพูดว่าเมื่อทำให้ฉันเกิด ก็ต้องเลี้ยงจนตาย มรดกก็ต้องให้ฉันเป็นของฉัน
แต่เมื่อออกไปสำรวจโลกที่ความคิดวัฒนธรรมต่างออกไป จะเห็นความจริงว่านี่ไม่ใช่กฎของโลก เป็นแค่ของกลุ่มชนใช้กับคนต่างถิ่นเหล่านั้นไม่ได้
โดยเฉพาะฝรั่ง ที่มุ่งเน้นให้ดำรงชีวิตได้ด้วยตนเอง ยิ่งเร็วยิ่งดี อย่างน้อยก็มีกติกา อายุ 18 ปี ต้องไปหางานทำเลี้ยงตัวเอง ความรับผิดชอบและความคิดก็ถูกบังคับให้เติบโต เพื่อความอยู่รอดแห่งตน
ฉันใดก็ฉันนั้น มองย้อนกลับมาหาศาสตร์สมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เป็นพี่เลี้ยง เหมือนพ่อแม่ที่ช่วยตอนที่เราท่านยังเล็ก ไม่มีกำลังพอ ช่วยตนไม่ได้ ถึงเวลาก็ต้องปล่อยให้เดินด้วยตนเอง
หลายคนไม่ยอมโต ติดสมุนไพรเป็นลูกแหง่เกาะพ่อแม่ตลอดเวลา เอาแต่สมุนไพร ไม่คิดจะเรียนธรรมคำสอน เอาวินัยมาทำเป็นนิสัยเพื่อหาบุญมาช่วยตน ให้ดำรงชีวิตมีพรหมลิขิตที่ดี ทั้งวันนี้และวันหน้า
ภาพที่เห็นฉายแล้วฉายอีก พ่อแม่ใครจะอยู่ตลอดกาลกับลูกได้ เฉกเช่นกันใครเล่าจะอยู่กับสมุนไพรไปจนตายได้ หาได้ยากยิ่ง พ่อแม่ดูแลก็แค่ตาเห็น หูฟัง พ้นตัวก็ช่วยอะไรไม่ได้ สมุนไพรก็แค่หายโรค เกินนั้นก็ใบ้กิน ช่วยให้พ้นอุบัติภัยไม่ได้เลย
บทสรุป ใครไม่ยอมยืนด้วยลำแข้งตน ยอมออกจากอกพ่อแม่ไปสู้ด้วยตนเอง สิ้นพ่อแม่ก็อับเฉา ใครไม่ยอมทำนิสัยเรียนวินัย เอามานำตน ช่วยตนให้พ้นทุกข์ เกาะแต่สมุนไพร ก็ไม่ต่างกัน ตราบใดที่ยังไม่เป็นคนดี คิดฤาสมุนไพรจะช่วยตนได้ทุกวัน ทุกเวลา แค่กรรมเขาเคาะขา มารับสมุนไพรไม่ได้ ชีวิตก็อับเฉาอัปปางแล้ว
อยากสุข พระภูมีชี้ ทำไมไม่หาสุขนิสัย นั่นแลสุขที่แท้จริง มีวาสนามาพบแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์ให้สติ “ขออะไรไร้สาระ ขอให้รวย ขอให้แฟนรัก ทำไมไม่ขอนิสัย ที่จะสร้างสุขทุกประการที่ตนปรารถนาได้”
ใครอยู่กับสมุนไพนจนชิน ดีแล้ว พอแล้ว บรรเลงนิสัยตนได้ ไม่คิดพัฒนาวิญญานให้สูง นั่นประมาทกรรม รู้อีกทีกรรมมาคิดจะทำก็สายเสียแล้ว มาพานพบของดีก็ไร้ค่า ช่วยตนไม่ได้ ที่สำคัญหลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เชื่อหรือชาติหน้าฉันใดจะได้มาพบเจออีก แน่ใจหรือ แล้ววันนี้เจอทำไมไม่ทำช่วยตน