ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561
สุข
คนทั้งหลายอวยพรให้มีสุข แลตนก็อยากมีสุข
น่าพิจารณาว่า แล้วสุขอยู่ตรงไหน สุขที่พึงมีไขว้คว้าให้ได้มาสร้างสุขจริงๆ หรือแค่สุขวันนี้ทุกข์วันหน้า
สุขที่แท้ แม่ชีเมี้ยนชี้ว่า คือสุขของวิญญาณ เพราะสิ่งที่ต้องรับจากผลการกระทำนั่นคือวิญญาณ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้พิจารณา วิญญาณออกจากร่างผู้ใด จะเฆี่ยนตีสักฉันใด หาความรู้สึกมีไม่
เราท่านจึงมีหน้าที่รับผิดชอบวิญญาณของตนเป็นสำคัญ จะทำสิ่งใด พึงต้องดูผลที่เกิดกับวิญญาณ
สุขของวิญญาณจะได้มา ย่อมต้องสร้างสุขให้ผู้อื่นเสียก่อน ผลคือวิญญาณสุข กินได้ นอนหลับ
บทสรุป จะมาหาสุข เดินเลยมนุษย์และสัตว์ไม่ได้เลย นี่แลอยากหาบุญ หาทาน ศาสนาจึงลากคนทุกข์มารวมกัน เป็นเนื้อนาบุญ จะทำมากน้อยตามติปัญญา กำลังที่ตนมี
อยากสุข แต่ไม่คิดให้สุขผู้ใดเลย สุขที่มีก็เพียงสุขประคอง จะประคองได้นานสักเท่าไร เมื่อทุกข์มา โรคเบียดเบียน สุขประคองที่ตนมีให้สุขไม่ได้แล้ว
นี่แลทำไมศาสนาสอนให้เราทำ ถ้าไม่ทำจะมีสุขใดย้อนมาหาตนเล่า
วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561
หลายใจ
คนมากหลายที่ไม่ประสพผลในการช่วยตน แม้นจะมีวาสนามาพานพบศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาก็ตามที
แม่ชีเมี้ยนทรงชี้อุปสรรคใหญ่ประการหนึ่งของนิสัยคนไทย นั่นคือ “หลายใจ”
ผลของการมีนิสัยนี้ ย่อมทำให้คนผู้นั้น มีพฤติกรรม “น้ำใสไหนไหลมา ก็ไปกับน้ำนั้น”
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังว่า ด้วยนิสัยนี้ อะไรที่ไหนใครว่าดี เอาหมด ทำตนเสมือนคนเหยียบเรือสองแคม ในทางโลกหรือสังคม อาจเป็นการลดความเสี่ยง แต่ในทางธรรม กลับทำให้ชีวิตตกในความเสี่ยงที่รุนแรงสูง
มองภาพให้ชัด ท่านอุปมาว่าคนผู้หนึ่ง ฟังเขาว่าพระองค์ไหนดี ก็หามาไว้คล้องคอ บังเอิญในคอมีแค่องค์เดียว ที่ช่วยตนได้ ตนไม่เคยพิจารณา ก็ไม่รู้ว่าองค์ไหนที่ช่วยตน วันหนึ่งยามขับขัน เกิดภัยร้ายแรง สร้อยและพระหลุดกระจาย เลือกคว้าได้องค์เดียว ที่จะมาช่วยตน ตนไม่รู้คว้าผิด ชีวิตก็ดับสูญ
นี่แหละนิยายชีวิตคนไทย ที่แม่ชีเมี้ยนอุปมาไว้ ยามดีก็ประมาท ขาดพิจารณา ไม่หาว่าสิ่งใดที่ช่วยตนได้จริง อะไรเขาว่าดีก็ไปหมดเอาหมด เมื่อกรรมมาทุกข์เกิด โรคปรากฎ ก็พาตนวิ่งโร่ไปในสิ่งที่ตนยึดถือ องค์นั้นที องค์นี้ที กว่าจะรู้ว่าคว้าผิด ชีวิตก็อัปปาง รู้ว่าสิ่งนั้นช่วยตนไม่ได้ก็สายเสียแล้ว
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนให้พิจารณา เลือกทีละอย่าง พิสูจน์ให้เห็นว่าช่วยตนได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ทิ้งไปเลือกใหม่ ชอบเจ้าเลือกเจ้าก่อน เจ้าช่วยไม่ได้ เปลี่ยนไปเลือกหมอ หมอช่วยไม่ได้เลือกพิธีกรรม ทำไปเรื่อยอันไหนช่วยได้จริง เลือกองค์เดียวไว้ในคอ ยามคับขันจะได้คว้าช่วยตนได้
บทสรุป เห็นพฤติกรรมคนไทยน่าใจหาย หมอสมัยใหม่ก็เอา สมุนไพรแม่ชีเมี้ยนก็จะเอา เป็นมะเร็งหมอแสงกำลังดังกูก็เอา เขาว่าต้องสะเดาะเคราะห์ก็ไป เอามาคล้องเต็มคอไปหมด ถึงวิกฤติจะคว้าถูกหรือ จึงไม่แปลก ทีสถิติคนตายเพิ่มตลอด ตายไปก็กลับมาบอกลูกหลานไม่ได้ว่า สิ่งไหนช่วยไม่ได้ อย่าไปเชื่อ อย่าไปเสียเวลา
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า “คนหลายใจ ไม่ควรเล่นของกายสิทธิ์ ถึงมี ถึงเจอ ก็เข้าไม่ถึง รักษาของดีไว้ไม่ได้”
วันศุกร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561
รู้แล้วหรือ
สิ่งที่น่าจะเข้าใจได้ว่า ทำไมคนทั้งหลายมามูลนิธิไทยกรุณา ประการหนึ่ง นั่นคือ สิ่งที่ตนรู้นั้นไม่สามารถช่วยตนของตนให้พ้นทุกข์ได้
จึงแปลความหมายได้ว่า การมาทำไมจึงต้องมาฟังผู้สอน ผู้รู้ เพื่อให้ตนของตนได้พิจารณา แล้วนำไปใช้เพื่อช่วยตน
น่าเสียดาย หลายคนที่มา มุ่งแต่รับสมุนไพรเพียงประการเดียว แล้วมุ่งหวังว่าจะช่วยตนได้ด้วยการทานสมุนไพร แม้นว่าไม่ว่ายุคถ้ำกระบอก มาหลวงพ่อนิพนธ์ จนถึงท่านอาสิ ก็ยืนยันมาตลอดว่า การจะช่วยตนโดยการทานสมุนไพรเพียงประการเดียว แม้นจะโชคดีประสพผลหายโรคในวันนี้ได้ แต่นั่นไม่ได้การันตีเลยว่า ชีวิตที่จะดำเนินต่อไปนั้น จะไม่เป็นโรคอื่น หรือมีโรคหวน ไปจนกระทั่งชีวิตจะปลอดภัย จากภัยอันตรายใดๆไม่
แลที่สำคัญท่านอาสิย้ำนักย้ำหนาว่า "การหายโรค ไม่ใช่กิจของศาสนา หากแต่นั้นเป็นของแถมที่ศาสนาให้แก่คนที่มาฟัง พิจารณา เชื่อ แล้วทำตนตามคำสอน ทำตนเป็นคนดีของศาสนาได้ต่างหาก"
ดังนั้น จึงน่าแปลกใจว่า ทำไมหลายคนปรารถนาชีวิตที่สุข แต่กลับไม่อยากฟัง เบื่อหน่ายการฟัง เพื่อให้ตนเข้าใจได้ถูก และจะได้ปฏิบัติถูก มาเพื่อจะพูด ทั้งๆที่บทพิสูจน์ ความเป็นจริง สิ่งที่ตนรู้ ตนพูด หรืออยากพูด อยากคุย ช่วยตนของตนไม่ได้เลย
บทสรุป เมื่อสิ่งที่ตนรู้ช่วยตนไม่ได้ แต่ไม่ฟัง จะมาเพื่อ ... คนมาก็เสียเงิน เสียเวลา และที่สำคัญ ช่วยตนพ้นทุกข์ไม่ได้ คนอยากช่วย คนสอน ก็เสียผล ช่วยคนไม่ได้ ไม่มีใครได้เลยมีแต่คนเสีย ถ้าไม่มา ทั้งสองฝ่ายก็ไม่เสีย ไม่ดีกว่าหรือ เอาเฉพาะคนอยากได้ มาทำให้คนที่ไม่รู้ ได้เห็นว่า คำสอน การปฏิบัติ ของศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ช่วยตนของผู้ปรารถนา อยากทำตน แต่ยังไม่รู้ ไม่เคยสัมผัสได้ เหมือน คุณธานินทร์ อินทรเทพ เหมือนคุณปรียานุช ปานประดับ
ไม่เชื่อ ก็ลองถามตัวเองว่า "บุญ" ที่แท้จริง ทำอย่างไร รู้ได้อย่างไรว่า "มีบุญ" อย่าตอบแบบตำราเขาว่า เพราะท่านทั้งหลายก็ทำตามตำรานั้นมาแล้ว ผลที่เกิด ฟ้องความจริงว่า "มันช่วยตนของท่านไม่ได้" หรือไม่ก็ลองถามตัวเองว่า ... สมุนไพรไพลเหลืองทำอะไรได้บ้าง ทำไมต้องทานหลังอาหาร ท้องว่างทานได้ไหม มีผลต่อส่วนไหนของร่างกาย แลให้ผลเฉียบพลันกับอาการใดของเราบ้าง
แม้นจะรู้แล้วก็ตามเถอะ หลวงพ่อนิพนธ์มักให้สติเราเสมอว่า อย่าแค่รู้ มันไม่พอ รู้แล้วต้องทำได้ เพราะศาสนาของพระภูมี เขาเอาคนทำได้ ไม่ใช่คนรู้ คนรู้มีมากมาย แต่คนทำได้นี่สิ ดังนั้นอย่าแปลกใจเลย ที่โบราณเขากล่าวเรียกคนที่รู้ธรรม แล้วทำได้ ว่าเป็นพวกเหนือมนุษย์ และมีอภิสิทธิ์เหนือคนทั่วไป เพราะทำยาก ที่เห็นได้ชัด นั่นก็คือ "ความไม่มีโรค" เป็นทรัพย์ติดวิญญาณ
จึงแปลความหมายได้ว่า การมาทำไมจึงต้องมาฟังผู้สอน ผู้รู้ เพื่อให้ตนของตนได้พิจารณา แล้วนำไปใช้เพื่อช่วยตน
น่าเสียดาย หลายคนที่มา มุ่งแต่รับสมุนไพรเพียงประการเดียว แล้วมุ่งหวังว่าจะช่วยตนได้ด้วยการทานสมุนไพร แม้นว่าไม่ว่ายุคถ้ำกระบอก มาหลวงพ่อนิพนธ์ จนถึงท่านอาสิ ก็ยืนยันมาตลอดว่า การจะช่วยตนโดยการทานสมุนไพรเพียงประการเดียว แม้นจะโชคดีประสพผลหายโรคในวันนี้ได้ แต่นั่นไม่ได้การันตีเลยว่า ชีวิตที่จะดำเนินต่อไปนั้น จะไม่เป็นโรคอื่น หรือมีโรคหวน ไปจนกระทั่งชีวิตจะปลอดภัย จากภัยอันตรายใดๆไม่
แลที่สำคัญท่านอาสิย้ำนักย้ำหนาว่า "การหายโรค ไม่ใช่กิจของศาสนา หากแต่นั้นเป็นของแถมที่ศาสนาให้แก่คนที่มาฟัง พิจารณา เชื่อ แล้วทำตนตามคำสอน ทำตนเป็นคนดีของศาสนาได้ต่างหาก"
ดังนั้น จึงน่าแปลกใจว่า ทำไมหลายคนปรารถนาชีวิตที่สุข แต่กลับไม่อยากฟัง เบื่อหน่ายการฟัง เพื่อให้ตนเข้าใจได้ถูก และจะได้ปฏิบัติถูก มาเพื่อจะพูด ทั้งๆที่บทพิสูจน์ ความเป็นจริง สิ่งที่ตนรู้ ตนพูด หรืออยากพูด อยากคุย ช่วยตนของตนไม่ได้เลย
บทสรุป เมื่อสิ่งที่ตนรู้ช่วยตนไม่ได้ แต่ไม่ฟัง จะมาเพื่อ ... คนมาก็เสียเงิน เสียเวลา และที่สำคัญ ช่วยตนพ้นทุกข์ไม่ได้ คนอยากช่วย คนสอน ก็เสียผล ช่วยคนไม่ได้ ไม่มีใครได้เลยมีแต่คนเสีย ถ้าไม่มา ทั้งสองฝ่ายก็ไม่เสีย ไม่ดีกว่าหรือ เอาเฉพาะคนอยากได้ มาทำให้คนที่ไม่รู้ ได้เห็นว่า คำสอน การปฏิบัติ ของศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ช่วยตนของผู้ปรารถนา อยากทำตน แต่ยังไม่รู้ ไม่เคยสัมผัสได้ เหมือน คุณธานินทร์ อินทรเทพ เหมือนคุณปรียานุช ปานประดับ
ไม่เชื่อ ก็ลองถามตัวเองว่า "บุญ" ที่แท้จริง ทำอย่างไร รู้ได้อย่างไรว่า "มีบุญ" อย่าตอบแบบตำราเขาว่า เพราะท่านทั้งหลายก็ทำตามตำรานั้นมาแล้ว ผลที่เกิด ฟ้องความจริงว่า "มันช่วยตนของท่านไม่ได้" หรือไม่ก็ลองถามตัวเองว่า ... สมุนไพรไพลเหลืองทำอะไรได้บ้าง ทำไมต้องทานหลังอาหาร ท้องว่างทานได้ไหม มีผลต่อส่วนไหนของร่างกาย แลให้ผลเฉียบพลันกับอาการใดของเราบ้าง
แม้นจะรู้แล้วก็ตามเถอะ หลวงพ่อนิพนธ์มักให้สติเราเสมอว่า อย่าแค่รู้ มันไม่พอ รู้แล้วต้องทำได้ เพราะศาสนาของพระภูมี เขาเอาคนทำได้ ไม่ใช่คนรู้ คนรู้มีมากมาย แต่คนทำได้นี่สิ ดังนั้นอย่าแปลกใจเลย ที่โบราณเขากล่าวเรียกคนที่รู้ธรรม แล้วทำได้ ว่าเป็นพวกเหนือมนุษย์ และมีอภิสิทธิ์เหนือคนทั่วไป เพราะทำยาก ที่เห็นได้ชัด นั่นก็คือ "ความไม่มีโรค" เป็นทรัพย์ติดวิญญาณ
วันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2561
เสียยาก
หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ว่าเรามาหาศาสนากันทำไม ศาสนาสอนให้ทำอะไร สิ่งที่สถานที่นี้พูด ล้วนแล้วแต่ความจริง มุ่งหมายให้ทุกคนเห็นความจริงว่า สิงที่ทุกคนต้องรับผิดชอบนั่นคือ วิญญาณ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ผลทั้งดีและชั่ว ที่ตนทำไว้แล้ว
ทุกคนออ้างภาระ คาามจำเป็น แล้วทิ้งการกรระทำที่มีความหมายต่อวิญญาณ หรือทำในสิ่งที่ไม่เปันผล ก็เพราะไม่รู้เรื่องศาสนาที่แท้จริง
ผลคือ ทุกข์ในวันนี้ของตน เกิดขึ้นแล้ว แม้กระนั้นก็หวังมีคนช่วย มีคนทำยามาช่วยตน เดินห่างคำสอน “ตนพึ่งตน” หวังปาฏิหาริย์โดยไม่ต้อองทำ หรือเอาวัตถุปัจจัยเข้าแรก เอาง่ายตามนิสัยตน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า ศาสนาสอนให้มีการกระทำที่มีผลต่อวิญญาณ และติดวิญญาณไปทุกภพทุกชาติ มีค่ามากกว่าสิ่งใด เพราะทำได้ให้สุขนิรันดร์แก่วิญญาณ หลายคนกลับเบื่อหน่าย
มองกิจกรรม มองการกระทำ คิดเป็นตัวเงิน ที่ตนจับต้องได้ ยิ่งคิด ยิ่งเห็น เสียเงิน เสียเวลา
ยิ่งคิดเป็นตัวเงิน ยิ่งเห็น ยิ่งเสียดาย อยากมาเร็ว กลับเร็วไปทำเงินทำงาน สรวลเสเฮฮา
การมาที่นี่ จึงคิดว่ามีแต่เสีย ไม่คิดเลยว่า ไม่เห็นค่าศาสนา เพราะเข้าตำรา “กินเป็นสุข นอนเป็นสุข ก็ลืมเลือน” แทนที่มีกำลัง จะสร้างสุขให้ผู้อื่น. สักวันหนึ่ง เพื่อสุขแห่งตน เป็นที่พึ่งแห่งตน มีแรงหน่อยก็ไปบรรเลงตามนิสัยตนถ่ายเดียว
คนรุ่นก่อนทำมาก่อน แล้วมีใครไปรอด นี่แหละ “ประมาท” ไม่ยอมเสีย ไม่ยอมทำในวันนี้ เสียน้อย สัปดาห์ละวัน ไม่เอา วันหน้าเจอตอจะกลับมา ก็ทำไม่ได้ เห็นทางรอด แต่ไปไม่ถึง
บทสรุป เชื่อหรือว่าพรหมลิขิตเราดี เชื่อหรือว่าผู้อื่นจะช่วยตนได้ เชื่อหรือการกระทำที่ตนทำอยู่ดีแล้ว จึงวางเฉย ศาสนาเขาลากคนทุกข์มาเป็นขุมทรัพย์ ให้ได้ทำเพื่อช่วยตน ก็ไม่ขวนขวาย ให้วันเวลา ให้ความสำคัญ ฤาจะเหมือนคำสาป “เห็นศาสนาก็เมื่อเวลาตาย”
ฤาเชื่อว่า มีผผู้อื่นจะช่วยตนให้พ้นทุกข์ได้ พระพุทธยังช่วยใครไม่ได้เลย รอไปเถอะ ขอพรไปเถอะ ไม่มีทางสมหวัง เขาทำกันทั้งโลก มีใครพ้น ถ้าขอได้ โลกนี้ไม่มีคนทุกข์แล้ว
สมุนไพร ทานแล้วผลยังดี ธรรมวินัยของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ทำได้วิญญานยิ่งอยู่สูง ยิ่งสร้างสุข คุ้มค่าการลงทุนยิ่งกว่ากิจการไหนๆ ผลยังติดตามตนไปทุกภพทุกชาติได้อีก กรรมอะไรทำให้ตนของเรา เลือกวัตถุปัจจัยที่ไม่เป็นแก่นสาร แก้ปวดก็ไม่ได้ ตายเอาไปก็ไม่ได้ เห็นชัดว่าทำแล้วผลมหาศาล กลับไม่ทำ ไม่ให้เวลา ไม่ทุ่มเท เวลาจะเป็นเครื่องตัดสิน ดินฟ้าอากาศจะเป็นพยานใหญ่
ทุกคนออ้างภาระ คาามจำเป็น แล้วทิ้งการกรระทำที่มีความหมายต่อวิญญาณ หรือทำในสิ่งที่ไม่เปันผล ก็เพราะไม่รู้เรื่องศาสนาที่แท้จริง
ผลคือ ทุกข์ในวันนี้ของตน เกิดขึ้นแล้ว แม้กระนั้นก็หวังมีคนช่วย มีคนทำยามาช่วยตน เดินห่างคำสอน “ตนพึ่งตน” หวังปาฏิหาริย์โดยไม่ต้อองทำ หรือเอาวัตถุปัจจัยเข้าแรก เอาง่ายตามนิสัยตน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า ศาสนาสอนให้มีการกระทำที่มีผลต่อวิญญาณ และติดวิญญาณไปทุกภพทุกชาติ มีค่ามากกว่าสิ่งใด เพราะทำได้ให้สุขนิรันดร์แก่วิญญาณ หลายคนกลับเบื่อหน่าย
มองกิจกรรม มองการกระทำ คิดเป็นตัวเงิน ที่ตนจับต้องได้ ยิ่งคิด ยิ่งเห็น เสียเงิน เสียเวลา
ยิ่งคิดเป็นตัวเงิน ยิ่งเห็น ยิ่งเสียดาย อยากมาเร็ว กลับเร็วไปทำเงินทำงาน สรวลเสเฮฮา
การมาที่นี่ จึงคิดว่ามีแต่เสีย ไม่คิดเลยว่า ไม่เห็นค่าศาสนา เพราะเข้าตำรา “กินเป็นสุข นอนเป็นสุข ก็ลืมเลือน” แทนที่มีกำลัง จะสร้างสุขให้ผู้อื่น. สักวันหนึ่ง เพื่อสุขแห่งตน เป็นที่พึ่งแห่งตน มีแรงหน่อยก็ไปบรรเลงตามนิสัยตนถ่ายเดียว
คนรุ่นก่อนทำมาก่อน แล้วมีใครไปรอด นี่แหละ “ประมาท” ไม่ยอมเสีย ไม่ยอมทำในวันนี้ เสียน้อย สัปดาห์ละวัน ไม่เอา วันหน้าเจอตอจะกลับมา ก็ทำไม่ได้ เห็นทางรอด แต่ไปไม่ถึง
บทสรุป เชื่อหรือว่าพรหมลิขิตเราดี เชื่อหรือว่าผู้อื่นจะช่วยตนได้ เชื่อหรือการกระทำที่ตนทำอยู่ดีแล้ว จึงวางเฉย ศาสนาเขาลากคนทุกข์มาเป็นขุมทรัพย์ ให้ได้ทำเพื่อช่วยตน ก็ไม่ขวนขวาย ให้วันเวลา ให้ความสำคัญ ฤาจะเหมือนคำสาป “เห็นศาสนาก็เมื่อเวลาตาย”
ฤาเชื่อว่า มีผผู้อื่นจะช่วยตนให้พ้นทุกข์ได้ พระพุทธยังช่วยใครไม่ได้เลย รอไปเถอะ ขอพรไปเถอะ ไม่มีทางสมหวัง เขาทำกันทั้งโลก มีใครพ้น ถ้าขอได้ โลกนี้ไม่มีคนทุกข์แล้ว
สมุนไพร ทานแล้วผลยังดี ธรรมวินัยของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ทำได้วิญญานยิ่งอยู่สูง ยิ่งสร้างสุข คุ้มค่าการลงทุนยิ่งกว่ากิจการไหนๆ ผลยังติดตามตนไปทุกภพทุกชาติได้อีก กรรมอะไรทำให้ตนของเรา เลือกวัตถุปัจจัยที่ไม่เป็นแก่นสาร แก้ปวดก็ไม่ได้ ตายเอาไปก็ไม่ได้ เห็นชัดว่าทำแล้วผลมหาศาล กลับไม่ทำ ไม่ให้เวลา ไม่ทุ่มเท เวลาจะเป็นเครื่องตัดสิน ดินฟ้าอากาศจะเป็นพยานใหญ่
วันจันทร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2561
พอไหม
ความจริงประการหนึ่งที่เห็นได้ชัด นั่นคือ ทุกคนล้วนแต่มีความตั้งใจ อยากเป็นคนดี อยากทำความดี ตามคำสั่งสอนไม่ว่าจากครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ทั้งหมดทั้งสิ้น
หากแต่ผลลัพธ์ที่ออกมา จักเห็นได้ว่า ความตั้งใจนั้น หาได้เป็นดั่งใจของคนทั้งหลายไม่ ยิ่งนานวัน ก็ถูกกระแสสังคม สภาวะแวดล้อม บิดเบือนความตั้งใจตน จนหลายคนอาจจะยากที่จะย้อนกลับมาทำในสิ่งที่ตนหวังตั้งใจได้
นั่นเป็นสิ่งที่บรมครูแม่ชีเมี้ยน ชี้ให้เห็นว่า ลำพังความตั้งใจดี ปรารถนาดี ที่จะทำดี เป็นคนดีนั้น ไม่สามารถสู้กับอำนาจกรรมได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้ผู้ปฏิบัติเห็นชัดขึ้น นั่นคือ พระทุกรูปที่บวชเข้ามาในพุทธศาสนา ล้วนแล้วแต่ตั้งใจเป็นพระที่ดีทั้งหมดทั้งสิ้น แต่ก็มีให้เห็นมากมาย ยิ่งอยู่นานวัน ก็ทนกิเลสตัณหา หรือ เหตุอะไรก็ตาม ภาพที่ปรากฎคนทั้งหลายจึงสูญเสียพระที่ดีไปมากมาย บางองค์ปฏิบัติดี มานับสิบๆปี วันหนึ่งก็สึกซะแล้ว นี่ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า นี่แหละเราท่านทั้งหลายจึงต้องมาหาศาสนา และมาใช้สัจจะเป็นผู้นำ เพื่อเป็นอำนาจธรรม นำตนให้ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบที่ตนปรารถนาได้ ด้วยอำนาจธรรมนี้แหละจึงเอาชนะอำนาจกรรม ที่ตนมีได้
ดังนั้นจุดเริ่มแห่งความสมปรารถนา ในทางพุทธศาสนา จึงเริ่มที่ความเชื่อ ว่า "กรรมมีจริง" ก็ถ้าไม่เชื่อความจริงนี้แล้วไซร้ จะมาหาศาสนาเพื่อ ... เพราะธรรมจะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อกรรมไม่มีอยู่จริง ก็ถ้าเชื่อว่ามีแล้ว ... จะเอาแต่ความตั้งใจ .... ไม่มีทางเพียงพอสู้อำนาจกรรมได้ จึงไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมท่านอาสิ จึงต้องให้เราท่านทั้งหลาย วางสัจจะ แล้วทำ
หากแต่ผลลัพธ์ที่ออกมา จักเห็นได้ว่า ความตั้งใจนั้น หาได้เป็นดั่งใจของคนทั้งหลายไม่ ยิ่งนานวัน ก็ถูกกระแสสังคม สภาวะแวดล้อม บิดเบือนความตั้งใจตน จนหลายคนอาจจะยากที่จะย้อนกลับมาทำในสิ่งที่ตนหวังตั้งใจได้
นั่นเป็นสิ่งที่บรมครูแม่ชีเมี้ยน ชี้ให้เห็นว่า ลำพังความตั้งใจดี ปรารถนาดี ที่จะทำดี เป็นคนดีนั้น ไม่สามารถสู้กับอำนาจกรรมได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้ผู้ปฏิบัติเห็นชัดขึ้น นั่นคือ พระทุกรูปที่บวชเข้ามาในพุทธศาสนา ล้วนแล้วแต่ตั้งใจเป็นพระที่ดีทั้งหมดทั้งสิ้น แต่ก็มีให้เห็นมากมาย ยิ่งอยู่นานวัน ก็ทนกิเลสตัณหา หรือ เหตุอะไรก็ตาม ภาพที่ปรากฎคนทั้งหลายจึงสูญเสียพระที่ดีไปมากมาย บางองค์ปฏิบัติดี มานับสิบๆปี วันหนึ่งก็สึกซะแล้ว นี่ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า นี่แหละเราท่านทั้งหลายจึงต้องมาหาศาสนา และมาใช้สัจจะเป็นผู้นำ เพื่อเป็นอำนาจธรรม นำตนให้ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบที่ตนปรารถนาได้ ด้วยอำนาจธรรมนี้แหละจึงเอาชนะอำนาจกรรม ที่ตนมีได้
ดังนั้นจุดเริ่มแห่งความสมปรารถนา ในทางพุทธศาสนา จึงเริ่มที่ความเชื่อ ว่า "กรรมมีจริง" ก็ถ้าไม่เชื่อความจริงนี้แล้วไซร้ จะมาหาศาสนาเพื่อ ... เพราะธรรมจะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อกรรมไม่มีอยู่จริง ก็ถ้าเชื่อว่ามีแล้ว ... จะเอาแต่ความตั้งใจ .... ไม่มีทางเพียงพอสู้อำนาจกรรมได้ จึงไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมท่านอาสิ จึงต้องให้เราท่านทั้งหลาย วางสัจจะ แล้วทำ
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2561
ความฝันกับความจริง
หลักสัจธรรมของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ตั้งอยู่บนความจริงที่ว่า "ตัวกระทำไม่ตาย"
ท่านอาสิชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เราท่านกระทำ เมื่อทำไว้แล้วย่อมเป็นตนกระทำที่รออยู่ในวันข้างหน้า จะทำสักฉันใดก็ไม่สามารถลบล้างได้
ความจริงข้อนี้ จึงเป็นเหตุที่่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเสมอว่า "โลกนี้ไม่มียารักษาโรค"
การมาใช้ศาสตร์สมุนไพร หลายคนอาจคิดว่า คงช่วยให้ความทุกข์ที่ตนมีนั้นหายไป นั่นจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอย่างมหันต์ ทำให้หลายคนเมื่อทานสมุนไพรแล้วเกิดอาการ ก็จึงท้อถอยเลิกราไป ด้วยไม่เข้าใจในความจริงนี้
แม้เราท่านจะใช้ศาสตร์สมุนไพร แต่สิ่งที่ต้องใช้ก็เหมือนเดิม หากแต่เปลี่ยนรูปไป หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แทนที่จะทุกข์กับโรค ก็มาทุกข์กับรสของสมุนไพร ทุกข์กับวินัยของพระภูมี
และเหตุผลประการสำคัญ ในการที่ต้องให้มาทุกข์กับวินัยของพระภูมี อันเป็นเคล็ดที่ไม่ว่าใครรู้ ก็ไม่สามารถลอกเลียนได้ และคนทั้งหลายทั้งโลกก็ทำไม่ได้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงว่า นั่นคืออำนาจธรรม ที่มีอยู่จริงนั่นเอง ของแม่ชีเมี้ยน นั่นคือ เมื่อปฏิบัติแล้วทำนิสัยแล้วเกิดบุญ ก็สามารถสมปรารถนา นั่นคือ การขอให้ยืดหรือผ่อนผัน ความทุกข์ ออกไปก่อน
แล้วเมื่อทานสมุนไพร ร่างกายก็จะมีวันเวลาฟื้นฟูอวัยวะ และสร้างภูมิ นั่นหมายความว่า ร่างกายก็จะมีความทนทานต่อความเจ็บปวดได้มากขึ้น และภูมิที่ร่างกายสร้างขึ้น ก็จะสามารถลดอาการนั้นลงได้ในที่สุด
ดังนั้น ความฝันที่คนทั้งหลายคิดว่า เมื่อทานสมุนไพร จะทำให้อาการของตนลดลงหรือหายไป นั่นจึงไม่มีทางเป็นไปได้ มีแต่ต้องทนอาการ แล้วรีบทานสมุนไพร และปฏิบัติวินัย เพื่อให้มีวันเวลา จนร่างกายต่อสู้กับอาการได้เท่านั้นเอง
นั่นจึงเป็นเหตุที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า การจะฟื้นฟูตน ต้องเดินสองขา ดั่งคำ "สมุนไพรรักษาโรค ธรรมรักษากรรม" หากไร้เสียซึ่งการปฏิบัติ คนทั้งหลายก็ยากที่จะทนทานต่ออาการที่ถั่งโถมเข้ามาหาตนได้ นั่นคือ โอกาสในการหายน้อยกว่าน้อย
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า การปฏิบัติวินัย เป็นเรื่องจำเป็น เป็นคุณสมบัติ สร้างอำนาจธรรม เพื่อช่วยตน เพื่อผลแห่งการฟื้นฟูตน เพราะไม่ว่าจะปฏิเสธสักฉันใด กรรมที่ทำไว้แล้ว ตัวกระทำนั้น ต้องย้อนมาให้ทุกข์ แลต้องอาศัยขันติ อดทน มหาศาล อย่าวาดฝันว่า อาการนั้นจะลดน้อยถอยไป หรือมียาวิเศษทำให้อาการนั้นหายไปได้ ไม่มีเลย วันเวลาจึงเป็นเรื่องสำคัญ หากปล่อยให้เนิ่นนาน โดยเราท่านไม่รีบฟื้นฟูตน รอจนโรคแก่กล้า ถึงวันนัันทุกข์ที่ถาโถม ก็เกินที่ร่างกายจะรับแล้ว หนทางการฟื้นฟูยิ่งยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย
คนที่อยากประสพผล และหวังผล จึงไม่ควรหวังผลจากทานสมุนไพรประการเดียว ควรที่จะเรียนรู้วินัย และฝึกปฏิบัติให้เป็นตน การหายโรคจึงเป็นเรื่องง่าย
วันอังคารที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2561
คำขอที่มองไม่เห็น
นับตั้งแต่ยุคถ้ำกระบอกของแม่ชีเมี้ยน มาหลวงพ่อนิพนธ์ มาท่านอาสิ สิ่งที่พร่ำสอน นั่นคือ การที่จะให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สร้างคุณสมบัติ เริ่มจาก การให้หรือทำตนเป็นพระเวสสันดร การสละแรงกายมาเป็นจิตอาสา ไปจนกระทั่งการไปปฏิบัติหรือบวช
หลายคนอาจสงสัย ในเมื่อตนมารับสมุนไพร ทำไมต้องทำด้วย ไม่เห็นความจำเป็นใดๆเลย ทำให้เหนื่อย ปฏิบัติให้ทุกข์กับวินัยไปทำไม ตนชอบในสิ่งที่ตนเป็นอยู่ แค่ปรารถนาหายโรคเท่านั้นเอง หายแล้วก็จักกลับไปทำที่ตนชอบ ไม่จำเป็นต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก
หากแต่ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์และท่านอาสิชี้เสมอว่า เหตุที่แท้จริง ที่ดลบันดาลทุกข์ นั่นคือ กรรม อันมาจากนิสัยของเราท่านนั่นเอง
และคำสอนอันเป็นหลัก ในศาสตร์นี้ คือ "ตัวกระทำไม่ตาย" ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ
หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบายให้ฟังว่า เมื่อตัวกระทำที่เราท่านทำไว้แล้ว มันไม่ตาย เมื่อทำกรรมชั่ว มันอุบัติมาเป็นโรคทำให้ทุกข์ จะทำให้ทุกข์นั้นหายไป ไม่ได้เลย นั่นจึงเป็นผลที่ว่า ทำไมโลกนี้จึงไม่มียารักษาโรค
สมุนไพร ก็ไม่ได้ทำให้ทุกข์นั้นหายไป เป็นแต่เพียงทำให้อวัยวะร่างกายของเรา ทนได้ ต่อสู้กับอาการนั้นๆได้ ไม่ใช่ทำให้อาการนั้นไม่ปรากฏ หรือทานแล้วไม่มีอาการ
ประเด็นมันก็อยู่ตรงที่ว่า หากความทุกข์ความเจ็บปวด ถาโถมเข้ามาในยามนี้ จนรับไม่ไหว ร่างกายทนไม่ได้ นั่นคือ ความแตกดับ หรือ ตาย นั่นเอง
นี่แล ทำไมเราท่านจึงต้องพึ่งศาสนา เพราะศาสนาสอนให้เราทำตน เป็นพระเวสสันดร เป็นผู้เมตตา เป็นผู้ที่กำลังเปลี่ยนตนให้มีนิสัยธรรม บางสิ่งบางอย่าง พูดง่ายๆ ทำตนเหนือมนุษย์ทั่วไป ทำในสิ่งที่คนทั่วไปเขาไม่ทำ
ผลที่เกิด หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ว่า พฤติกรรม การกระทำเช่นนี้แหละ ที่ศาสนา จะใช้อำนาจธรรมเกื้อกูล ไปต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวร ให้ผ่อนผัน อ่อนโยน ยืดระยะเวลา หรือค่อยๆทยอยใช้ แก่ผู้ที่เชื่อในศาสนาแล้วทำ คำขอที่มองไม่เห็นของศาสนานี้ ก็อ้างว่า คนผู้นั้นเชื่อแล้วกำลังทำ ตอนนี้ คนผู้นั้น มีการกระทำช่วยผู้อื่น เมตตาผู้อื่น ชีวิตของเขา มีผลต่อชีวิตผู้อื่นอันมหาศาล
นั่นเป็นเหตุที่ว่า หน้าที่ของวัดอันหนึ่งที่สำคัญ คือ การนำคนทุกข์มารวมกัน แล้วคนทีมาหาศาสนา ได้ฟังคำสอน พิจารณา แล้วเชื่อ ก็ทำตน ให้เป็นประโยชน์ แก่คนทุกข์เหล่านั้น ไม่ใช่เอาเฉพาะคู่คล้องกรรมแห่งตน คือ ลูกเมีย เมื่อทำแล้ว ชีวิตของคนผู้นั้น ก็มีค่าต่อชีวิตของคนทุกข์มากมาย อาทิที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ ถ้าคนนี้ไม่ไปเก็บใบยา คนทุกข์เป็นพันจะมียากินหรือ ถ้าคนนี้ไม่หิ้วมะกรูด มะพร้าวมา คนนั้นจะมีสมุนไพรมะกรูด สมุนไพรมะพร้าวทาน หรือ ถ้าพฤติกรรมแบบนี้ คนผู้นั้นถือเป็นวินัย ที่ตนจักทำเพื่อช่วยผู้อื่น ย่อมเป็นพฤติกรรมเหนือมนุษย์ ที่สมควรจะให้มีชีวิตดำรงอยู่ใช่หรือไม่
คำขอของศาสนาที่มีต่อคนที่เชื่อแล้วทำตาม ก็ทำให้เจ้ากรรมนายเวร โอนอ่อน ให้เวลา คนผู้นั้น ก็ทานสมุนไพร มีเวลาฟื้นฟูตนเอง และสร้างบุญให้เจ้ากรรมนายเวร คนผู้นั้นเมื่อได้ทุกข์จากการเจ็บปวดทรมานทางกาย ร่างกายพร้อมก็ทนได้ ผ่านได้ จึงหายโรคได้
บทสรุป ด้วยคำขอนี้เอง ที่คนทั้งหลายมองไม่เห็น จึงไม่เห็นความจำเป็นในการปฏิบัติตนตามคำสอน หวังแต่จะพึ่งสมุนไพรเท่านั้นเอง ผลก็คือ น้อยคนจะสามารถทนต่ออาการที่ถาโถมมานั้นได้ มิเพียงไม่หายโรค แม้นแต่ชีวิตก็ยากจะรักษาไว้ได้ หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า พรหมลิขิตหักกลาง ไปทั้งที่ยังไม่ครบอายุตน
นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมสถานที่ของแม่ชีเมี้ยน จึงสามารถช่วยคนที่เชื่อแล้วทำตามได้ เพราะมีอำนาจธรรม มีวินัย ที่ให้คนที่ฟัง แล้วเชื่อ ทำตาม ทำตนเป็นที่พึ่งแห่งตน นั่นคือ ชีวิตตน มีประโยชน์แก่สรรพสัตว์ นั่นเอง
ถ้าใครจะถามว่า โรคตนจะหายไหม ตนจะรอดไหม หลวงพ่อนิพนธ์ก็ให้ถามตัวเองว่า ตนกระทำของตน มีประโยชน์แก่สรรพสัตว์มากน้อยเพียงใด เพียงพอต่อให้ธรรมไว้ต่อรอง ร้องขอกรรม ให้โอนอ่อนได้หรือไม่นั่นเอง
หลายคนอาจสงสัย ในเมื่อตนมารับสมุนไพร ทำไมต้องทำด้วย ไม่เห็นความจำเป็นใดๆเลย ทำให้เหนื่อย ปฏิบัติให้ทุกข์กับวินัยไปทำไม ตนชอบในสิ่งที่ตนเป็นอยู่ แค่ปรารถนาหายโรคเท่านั้นเอง หายแล้วก็จักกลับไปทำที่ตนชอบ ไม่จำเป็นต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก
หากแต่ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์และท่านอาสิชี้เสมอว่า เหตุที่แท้จริง ที่ดลบันดาลทุกข์ นั่นคือ กรรม อันมาจากนิสัยของเราท่านนั่นเอง
และคำสอนอันเป็นหลัก ในศาสตร์นี้ คือ "ตัวกระทำไม่ตาย" ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ
หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบายให้ฟังว่า เมื่อตัวกระทำที่เราท่านทำไว้แล้ว มันไม่ตาย เมื่อทำกรรมชั่ว มันอุบัติมาเป็นโรคทำให้ทุกข์ จะทำให้ทุกข์นั้นหายไป ไม่ได้เลย นั่นจึงเป็นผลที่ว่า ทำไมโลกนี้จึงไม่มียารักษาโรค
สมุนไพร ก็ไม่ได้ทำให้ทุกข์นั้นหายไป เป็นแต่เพียงทำให้อวัยวะร่างกายของเรา ทนได้ ต่อสู้กับอาการนั้นๆได้ ไม่ใช่ทำให้อาการนั้นไม่ปรากฏ หรือทานแล้วไม่มีอาการ
ประเด็นมันก็อยู่ตรงที่ว่า หากความทุกข์ความเจ็บปวด ถาโถมเข้ามาในยามนี้ จนรับไม่ไหว ร่างกายทนไม่ได้ นั่นคือ ความแตกดับ หรือ ตาย นั่นเอง
นี่แล ทำไมเราท่านจึงต้องพึ่งศาสนา เพราะศาสนาสอนให้เราทำตน เป็นพระเวสสันดร เป็นผู้เมตตา เป็นผู้ที่กำลังเปลี่ยนตนให้มีนิสัยธรรม บางสิ่งบางอย่าง พูดง่ายๆ ทำตนเหนือมนุษย์ทั่วไป ทำในสิ่งที่คนทั่วไปเขาไม่ทำ
ผลที่เกิด หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ว่า พฤติกรรม การกระทำเช่นนี้แหละ ที่ศาสนา จะใช้อำนาจธรรมเกื้อกูล ไปต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวร ให้ผ่อนผัน อ่อนโยน ยืดระยะเวลา หรือค่อยๆทยอยใช้ แก่ผู้ที่เชื่อในศาสนาแล้วทำ คำขอที่มองไม่เห็นของศาสนานี้ ก็อ้างว่า คนผู้นั้นเชื่อแล้วกำลังทำ ตอนนี้ คนผู้นั้น มีการกระทำช่วยผู้อื่น เมตตาผู้อื่น ชีวิตของเขา มีผลต่อชีวิตผู้อื่นอันมหาศาล
นั่นเป็นเหตุที่ว่า หน้าที่ของวัดอันหนึ่งที่สำคัญ คือ การนำคนทุกข์มารวมกัน แล้วคนทีมาหาศาสนา ได้ฟังคำสอน พิจารณา แล้วเชื่อ ก็ทำตน ให้เป็นประโยชน์ แก่คนทุกข์เหล่านั้น ไม่ใช่เอาเฉพาะคู่คล้องกรรมแห่งตน คือ ลูกเมีย เมื่อทำแล้ว ชีวิตของคนผู้นั้น ก็มีค่าต่อชีวิตของคนทุกข์มากมาย อาทิที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ ถ้าคนนี้ไม่ไปเก็บใบยา คนทุกข์เป็นพันจะมียากินหรือ ถ้าคนนี้ไม่หิ้วมะกรูด มะพร้าวมา คนนั้นจะมีสมุนไพรมะกรูด สมุนไพรมะพร้าวทาน หรือ ถ้าพฤติกรรมแบบนี้ คนผู้นั้นถือเป็นวินัย ที่ตนจักทำเพื่อช่วยผู้อื่น ย่อมเป็นพฤติกรรมเหนือมนุษย์ ที่สมควรจะให้มีชีวิตดำรงอยู่ใช่หรือไม่
คำขอของศาสนาที่มีต่อคนที่เชื่อแล้วทำตาม ก็ทำให้เจ้ากรรมนายเวร โอนอ่อน ให้เวลา คนผู้นั้น ก็ทานสมุนไพร มีเวลาฟื้นฟูตนเอง และสร้างบุญให้เจ้ากรรมนายเวร คนผู้นั้นเมื่อได้ทุกข์จากการเจ็บปวดทรมานทางกาย ร่างกายพร้อมก็ทนได้ ผ่านได้ จึงหายโรคได้
บทสรุป ด้วยคำขอนี้เอง ที่คนทั้งหลายมองไม่เห็น จึงไม่เห็นความจำเป็นในการปฏิบัติตนตามคำสอน หวังแต่จะพึ่งสมุนไพรเท่านั้นเอง ผลก็คือ น้อยคนจะสามารถทนต่ออาการที่ถาโถมมานั้นได้ มิเพียงไม่หายโรค แม้นแต่ชีวิตก็ยากจะรักษาไว้ได้ หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า พรหมลิขิตหักกลาง ไปทั้งที่ยังไม่ครบอายุตน
นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมสถานที่ของแม่ชีเมี้ยน จึงสามารถช่วยคนที่เชื่อแล้วทำตามได้ เพราะมีอำนาจธรรม มีวินัย ที่ให้คนที่ฟัง แล้วเชื่อ ทำตาม ทำตนเป็นที่พึ่งแห่งตน นั่นคือ ชีวิตตน มีประโยชน์แก่สรรพสัตว์ นั่นเอง
ถ้าใครจะถามว่า โรคตนจะหายไหม ตนจะรอดไหม หลวงพ่อนิพนธ์ก็ให้ถามตัวเองว่า ตนกระทำของตน มีประโยชน์แก่สรรพสัตว์มากน้อยเพียงใด เพียงพอต่อให้ธรรมไว้ต่อรอง ร้องขอกรรม ให้โอนอ่อนได้หรือไม่นั่นเอง
วันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2561
ที่พึ่ง
คนทั้งหลายเมื่อทุกข์ ย่อมแสวงหาที่พึ่งโดยเฉพาะทางใจ มีให้เห็นกันมากมาย จึงดิ้นรนไปหา และก็มีคนฉวยโอกาส สร้างสรรพสิ่งอ้างเป็นที่พึ่ง อ้างศักดิ์สิทธิ์ กันมากมาย เต็มประเทศ เต็มโลก
หากแต่บรมครูด้านกวี ท่านสุนทรภู่ ชี้แนะไว้แต่โบราณ ในกลอนของพระอภัยมณี ไว้ว่า "ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้ คือ กายตน" นั่นแลเป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน
ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ก็สอนให้เราท่านทั้งหลาย "พึ่งการกระทำของตน" ดังนั้น หากพิจารณาให้เห็นชัด "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว" การกระทำย่อมสื่อสิ่งที่ใจคิด เมื่อสาวลึกไปอีก ใจย่อมบรรเลงไปตามนิสัยที่ตนมี นี่จึงเป็นเหตุว่า อยากจะให้การกระทำของตนดี ย่อมต้องฝึกนิสัยที่ดีของพระพุทธเจ้า และงดเว้นหรือหยุดนิสัยตนที่สร้างการกระทำไม่ดี
เสียดายความรู้นี้ ในโลกนี้ คนรู้มีมากมาย แต่ทำไม่ได้ เราท่านจึงเห็นคนทุกคนอยากเป็นคนดี ถูกสอนให้เป็นคนดี แต่ไม่เป็นไปอย่างที่ตนปรารถนาตั้งใจเลย นี่แหละคือ "อำนาจกรรม"
สิ่งนี้คือเหตุผล ที่ทำไมเราท่านต้องมาศาสนา เพราะการจะทำให้สมปรารถนาได้ นั้นจึงต้องอาศัย อำนาจที่เหนืออำนาจกรรม นั่นคือ "อำนาจธรรม" จึงจะทำได้ และการจะถึงซึ่งอำนาจธรรมเพื่อชนะ ศาสนาก็สอนให้เราท่าน ทำโดยสร้างสัญญาใจ คือ "สัจจะ" ให้ไว้กับศาสนา และทำทีละน้อย ดั่งที่ท่านอาสิสอน เช่น ไม่โกรธ วันละหนึ่งชั่วโมง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ลำพัง ความตั้งใจ ความอยาก นั้นไม่พอ ชนะอำนาจกรรมไม่ได้ สถานที่นี้จึงสอนให้ใช้ "สัจจะ" เป็นอำนาจ สร้างตัวกระทำเป็นที่พึ่งแห่งตน ตามรอยพระภูมี จึงจะพ้นทุกข์ได้ หรือ มีชีวิตที่ปลอดภัย ทั้ง โรคภัย และอุบัติภัย
จึงอยากยกคำเตือนสติของหลวงพ่อนิพนธ์ให้ไว้ว่า "ให้เอาการกระทำเป็นที่พึ่ง สมุนไพรนั้นเป็นพี่เลี้ยง อย่ายึดติด" การกระทำเท่านั้น ที่ทำจนเป็นนิสัย จะติดตนไปในวันหน้า ทุกภพทุกชาติ เป็นที่พึ่งแห่งตนแท้จริง
สมุนไพร อันเป็นธรรมของพระภูมีหมวดหนึ่ง มีไว้เพื่อให้โอกาสได้ทำให้ตนเป็นคนดี มีการกระทำที่ดีเป็นที่พึ่ง ข้ามพ้นอุปสรรคกายที่มีจากโรคภัย อุปมาเสมือนไม้เท้าช่วยเดิน ครั้นพอเดินได้ ก็จำต้องเดินเอง ทิ้งไม้เท้านั่นเไป
อยากได้ที่พึ่ง จึงต้องสร้างต้องทำนิสัย ของพระภูมีให้เกิดแก่ตนให้จงได้
วันเสาร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2561
กตัญญู
หลายคนอาจมีคำถามในใจตนว่า ทำไมตนหรือคนที่ตนเห็น ก็ทำความดี เข้าวัดเข้าวา ถือศีล บำเพ็ญภาวนา มาตั้งแต่เล็กจนโต ทำไมเมื่อทุกข์เกิดแก่ตน สิ่งเหล่านั้นจึงไม่มาช่วยตนเลยเล่า
ท่านอาสิก็ชี้ให้เห็นว่า เพราะเราท่านทั้งหลาย ไหว้เขาไม่ถูกต้องในร่องธรรม พูดง่ายๆ ภาษาชาวบ้านคือ ทำตนไม่ใช่พวก จึงไม่ช่วยนั่นเอง
ท่านอาสิก็มักสอนเสมอว่า เรื่องของศาสนาพุทธ ต้องทำคุณสมบัติ ที่ซึ่งเสมือนขั้นบันได แลขั้นแรกที่สำคัญ คือ "กระไดกตัญญู"
เพราะอะไรหรือ เพราะการจะมีกตัญญูได้ มีพฤติกรรมนี้ เพื่อสร้างคุณสมบัติ ย่อมต้องเห็นในสิ่งที่ผู้อื่นให้ก่อน เราท่านเห็นสิ่งที่พ่อแม่ให้ จึงกตัญญู เห็นในสิ่งที่ครูบาอาจารย์ให้ จึงกตัญญู เฉกเช่นเดียวกัน คนที่จะมีพฤติกรรมในร่องธรรมได้ คนผู้นั้นต้องเห็นในสิ่งที่ศาสนามอบให้เสียก่อน
หากแต่สิ่งที่ศาสนามอบให้ มันมองไม่เห็น เหมือนกรรมที่มองไม่เห็น บางคนจึงไม่เชื่อว่า กรรมมีจริง กระนั้นก็ตามหลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนว่า อยากเห็นอย่าใช้ตาดู ต้องพิจารณา ใช้ปัญญา จึงจักเห็นได้
แลก็สอนว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ สอนให้ใช้แว่นส่องจักรวาล เพื่อมองหาศาสนา อันเป็นปฐมบทที่ศาสนาให้ นั่นคือ "ความไม่มีโรค" ที่ศาสนาใช้เป็นเครื่องดึงดูดผู้คน เข้ามาหาศาสนา เพื่อเรียนรู้ธรรมคำสอน ปรับเปลี่ยนตน เป็นคนดี อยู่ในร่องธรรม
สิ่งที่ศาสนพึงให้ และมีคุณค่ามหาศาล นั่นคือ การสอนให้เขียนพรหมลิขิต ที่จะติดตามตัวไปทุกภพทุกชาติ เรียกบุญบารมี ทานบารมี จากการทำนิสัยของพระพุทธเจ้านั่นเอง
หากใครไม่เห็น หรือไม่สนในสิ่งที่ศาสนาให้ ก็ไม่ต่างอะไรกับบุตรที่ไม่เห็นในค่าของบิดามารดา พฤติกรรมปฐมบท ที่แสดงถึงกตัญญูจึงไม่เกิด คือ "การไหว้" เพื่อระลึกคุณนั้น
หากจะถามว่าไหว้ทำไม ก็ไหว้เป็นสติ ให้ระลึกในคุณ แล้วควบคุมตนให้อยู่ในร่องรอย ลดกิริยา ควบคุมกาย วาจา ใจ ไม่ปล่อยตามนิสัยจนเกินไป ทางโลก อยากโดดเรียน ก็ไม่โดด อยากต่อยตี ก็อดทนไว้ ทางธรรม อยากจะโลภ โกรธ หลง หากแต่เมื่อมาแล้ว ไหว้ ก็เป็นสติ ให้ตนนั้นควบคุม ลดกิริยา เหล่านั้น เป็นการกระทำที่พึ่งแห่งตน เป็นบารมีติดตามตน ช่วยตนให้พ้นทุกข์
บทสรุป ศาสน์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงชี้ให้เห็นว่า การไหว้ด้วยการกราบ จะไร้ค่าไปทันที ถ้าจบแค่ไหว้ หากแต่การกราบไหว้ ที่แท้จริง คือ การไหว้เพื่อเป็นสติ จะทำให้ได้สมปรารถนาตั้งใจ แล้วใช้สตินี้ เพื่อดำรงตนอยู่ในวินัยของศาสนา บางสิ่งบางอย่าง บางเวลา เป็นตัวกระทำที่พึ่งแห่งตน ในช่วงพิธีกรรมทำวินัยของตน เช่น หนึ่งชัวโมง หนึ่งวันในการมาวัด พูดฟังง่าย หลวงพ่อนิพนธ์ก็สอนว่า คือ ไหว้เพื่อทำตน ตามคำสอน เสมือนรักหน้า เพื่อกตัญญู นั่นเอง เราท่าน ด้วยเมื่อเป็นคนดีตามโลก เขาก็บอก พ่อแม่สอนมาดี เมื่อเป็นคนดีของธรรม เขาก็บอก ธรรมของพระภูมีนั้นดี เมื่อทำได้ ท่านอาสิก็ให้นำสิ่งที่ตนทำได้ ไปขอในสิ่งที่ตนปรารถนา
ใครจะดีได้โดยไม่เอา พ่อแม่ ไม่เอาครูอาจารย์ ไม่เอาผู้ให้ข้าวให้น้ำ หากมีพฤติกรรมนี้กับศาสนา จะเจริญได้อย่างไร ทางโลกยังไม่ได้เลย
ไหว้ให้ถูก แล้วพิจารณาจะเห็นว่า ผลถูกจึงเกิดแก่ตน อย่าทำตามคนทั้งโลก ที่มาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพร หวังจะได้โดยไม่ทำอะไรเลย นั่นจึงเป็นเหยื่อของคนฉลาด สร้างพระทันใจ สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อวดอ้างขอพรไดสมดังใจ นานาชนิด ให้คนแห่แหนไปกราบไหว้ ถ้าขอแล้วได้จริง ต้นฉบับแห่งการขอ คือ อินเดีย คงไม่ตกต่ำดังที่เห็นหรอก
วันอังคารที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2561
ศาสตร์แห่งปราชญ์
ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมศาสตร์ของพระภูมี คนนิยมน้อย เพราะมันสวนกระแส สวนความรู้สึก อยากได้สุข ต้องให้สุขแก่ผู้อื่นก่อน สุขนั้นจึงย้อนคืนมายังตน ในขณะที่โลกทั้งหลายทั้งปวง ล้วนแล้วแต่พาตนไปแสวงหาสุข ตามนิสัยตน แล้วบอกว่า ตักตวงความสุข นั่นเพราะมองกันแต่เฉพาะหน้าเท่านั้นเอง
หากแต่แม่ชีเมี้ยนนำศาสตร์พระภูมีมาสอน ชี้ให้เห็นว่า "ตัวกระทำไม่ตาย" ท่านเชื่อหรือไม่
หลวงพ่อนิพนธ์จึงทำให้ดู ให้เห็นว่า การจะช่วยคน จึงต้องทำให้เขามีตัวกระทำในศาสนา พูดง่ายๆ แบบท่านอาสิ ก็คือ มีรอยมือรอยตีน ของตน ที่ให้สุขแก่ผู้อื่นนั่นเอง นี่แหละต้องใช้ผู้มีปัญญา
เราท่านจึงเห็น ร่องรอย ของการสร้างสถานที่ว่า ไม่ใช้สร้างขึ้นมาใหม่ ให้สวยงามตระการตา หากแต่สร้างด้วยวัสดุที่ดูแล้วไร้ค่า ผ่านปัญญาของหลวงพ่อนิพนธ์ ประติดประต่อ ผสมผสาน ให้กลายมาเป็นประโยชน์ ให้สุขแก่ผู้คน เพื่อผลแห่งสุขจะได้ย้อนไปยังเจ้าของวัตถุนั้นๆ
และที่เด่นชัดยิ่ง จักเห็นได้ว่า แรงงานที่ใช้สร้าง ล้วนแล้วแต่อาศัยคนป่วย ไม่ใช่จุดประสงค์เพื่อประหยัด แต่นั่นคือ รอยมือรอยตีน เมื่อแล้วเสร็จ มาใช้ อย่างน้อยก็กินน้ำเหงื่อของตน เหลือนั้นเป็นทาน ไม่เป็นหนี้ใคร
ในอดีต หากใครมาทันหรือเคยได้ยิน จะพบว่า คนที่เชื่อมโครงหลังคาเรือนพัก ที่ทานสมุนไพรมะพร้าว เชื่อหรือไม่ มาจากคนที่ตาสูญเสียการมองไม่เห็น จากอุบัติเหตุการเชื่อมท่อก๊าซ แล้วมาใช้มือคลำเชื่อมให้จนเสร็จ แล้วเขาก็มองเห็นอีกครั้ง จนตะโกนร้องอย่างดีใจ เมื่อเชื่อมตัวสุดท้ายของโครงหลังคาเสร็จ แม้นกระทั่ง พื้นที่นัง ก็มีพุทธประวัติ ที่เล่ากันไม่รู้เบื่อ ด้วยชายผู้หนึ่งเพื่อนพามา ด้วยเป็นโรคหัวใจ ที่หมอบอกห้ามออกแรงเด็ดขาด เพราะอาจเสียชีวิตได้ ในขณะที่เขานั่งอยู่ หลวงพ่อนิพนธ์ก็พูดกับเขาว่า นั่งไม่หายหรอก ไปหิ้วปูนสิ นั่นน่ะช่วยให้หายได้ เขาก็ตัดสินใจ ไปยืนในแถวหิ้วปูนหัวแถว จนเพื่อนกลับมาเห็นร้องด้วยความตกใจ กลัวเขาตาย แต่ปรากฎว่า เขาทำแล้วยิ่งแข็งแรงขึ้น จากนั้นก็เห็นชายผู้นี้ ยืนหัวแถวทุกสัปดาห์ในการเทปูน จนหายจากโรคหัวใจ
ปราชญ์ย่อมเห็น แลมีเมตตา จึงไม่แปลกเลยว่า ไม่ว่าสิ่งของจะดูเล็กน้อยสักเพียงไหน ก็เอามาเป็นประโยชน์ เพื่อช่วยคนผู้นั้น หากย้อนยุคถ้ำกระบอก พระเดินผ่านช้อนทานข้าวที่ตกอยู่ แม่ชีเมี้ยนตรัสสอนว่า หากเราไม่เก็บ เจ้าของช้อนที่รอบุญ รอทาน ก็หมดสิ้น หากแต่ท่านมีเมตตา มีปัญญา ก็เก็บช้อนขึ้นมา นำไปล้างทำความสะอาด เอามาทำประโยชน์ตักข้าว ตักแกง อีกครั้ง เจ้าของช้อน ก็จะได้บุญ ได้ทาน ที่ปรารถนาอีกครั้ง
แลมนุษย์ ที่เป็นโรค หลวงพ่อนิพนธ์ก็อุปมาเหมือนช้อนนั้น หากเราท่านร่วมกัน เป็น "สามัคคีธรรม" ช่วยคนนั้นๆ ขึ้นมาได้ จากคนที่สังคมรังเกียจ คนในบ้านบอกเป็นภาระ ด้วยมะกรูดลูก มะพร้าวลูก ของเราท่าน ทำให้คนผู้นั้น จากคนไร้ค่า กลายมาเป็นคนดี มีร่างกายสุขภาพดี จิตใจที่ดี คืนกลับไปสู่สังคมบ้าน และสังคมโลก นั่นคืองานของมูลนิธิไทยกรุณา ที่แม่ชีเมี้ยนปรารถนา
ไม่มีคนกดไลน์ กดแชร์ เป็นแสน เป็นล้าน ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่มีคนช่วยกันรักษาสิ่งดีดีนี้ไว้ ศาสตร์อันนี้ย่อมสูญไปจากประเทศไทย จะให้เป็นภาระของท่านอาสิ แต่ถ่ายเดียวไม่ควรเลย
บทสรุป ศาสตร์แห่งปราชญ์ สอนให้เป็นคนดี โดยเก็บมนุษย์ที่คนทั้งหลาย ปฏิเสธ เป็นภาระ มาปะติด ปะต่อ สร้างสุขภาพ นิสัยที่ดี ดังนั้น หากใคร ไม่อยากเป็นคนดี ไม่ต้องมา ไม่อยากเปลี่ยนพฤติกรรมใดๆ ก็ไม่ว่ากัน บ้านใคร บ้านมัน แม้นมาแล้ว ก็อย่านิ่งดูดาย ดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน หยอดตาแล้ว ขอให้ตาสว่าง สอดส่อง ทำในสิ่งที่ช่วยตน และผู้อื่น แม้นแต่หยิบขวดน้ำที่ทานแล้ว ไปใส่ในที่จัดไว้ ก็ช่วยชีวิตได้ทั้งของตน และของผู้ที่ทิ้ง ที่ยังไม่รู้ ยังไม่ทำ ไม่เชื่อว่า "ตัวกระทำไม่ตาย"
แม่ชีเมี้ยนชี้เสมอว่า "มนุษย์ย่อมเอนเอียงไปตามนิสัยกรรม" เรื่องของกรรม คนทั้งหลายจึงแห่แหนกันไปมืดฟ้ามัวดิน หากแต่เรื่องของธรรม เห็นอยู่ว่า ช่วยคนได้ มีคนหาย กลับเบื่อไม่อยากฟัง ไม่อยากทำ ไม่มอง ไม่รับรู้ ... มีแรงไปเต้นมากมาย มีแรงไปตีกัน ไปด่ากัน มีแรงฟันไร่ทำกินมากมาย แต่มีไหม จะมองไปต้นยาที่กินสักต้น แล้วไปรดน้ำพรวนดิน อย่างน้อยก็ทำเพื่อให้ตนมีกิน เหลือนั้นเป็นทาน ... แค่คนละต้น ก็มีสมุนไพรทานกันเหลือแล้ว
เมื่อคนเชื่อศาสตร์แห่งปราชญ์ ดั่งที่คนในสวนสมุนไพร บ่อพลอย เชื่อหลวงพ่อนิพนธ์ ต้นยาทุกต้นในแผ่นดินนั้น ล้วนแล้วแต่มีคนจอง ช่วยกันดูแล ต้นเล็กก็คนนึง ต้นใหญ่ ก็สองสามคน ช่วยกันดูแล ผลก็คือ แม้นสมุนไพรจะทานเพียงแค่แก้วเดียว ไม่มีกลับบ้าน หายกันมากมาย แค่อัมพฤกต์ทิ้งไม้เท้ากองเป็นภูเขา พระต้องเผาไฟทิ้ง
ศาสตร์นี้มีที่ให้เฉพาะคนอยากเป็นคนดี แต่พลาดไป เพราะไม่รู้เรื่องศาสนา ไม่จำเป็นต้องมีมาก หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ช่วยให้คนกลับมาเป็นคนดี ได้สักคน มีสุขภาพแข็งแรง นั่นก็เพียงพอแก่กุศลสำหรับตน เพราะสร้างคนดี ดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น มิใช่หรือ จึงเป็นศาสตร์เฉพาะคนอยากได้ ถ้าไม่อยากไม่ต้องมา ด้วยสิ่งที่ปรารถนายากที่จะประสพผล เพราะศาสนา ไม่ช่วยคนให้แรงคน กลับไปเป็นคนชั่ว ทำร้ายคนอีกอย่างแน่นอน นี่แหละจึงเรียก หลักปราชญ์ ไม่เป็นชี้ข้าคนชั่ว แต่สนับสนุนเป็นพี่เลี้ยงคนดี
หากแต่แม่ชีเมี้ยนนำศาสตร์พระภูมีมาสอน ชี้ให้เห็นว่า "ตัวกระทำไม่ตาย" ท่านเชื่อหรือไม่
หลวงพ่อนิพนธ์จึงทำให้ดู ให้เห็นว่า การจะช่วยคน จึงต้องทำให้เขามีตัวกระทำในศาสนา พูดง่ายๆ แบบท่านอาสิ ก็คือ มีรอยมือรอยตีน ของตน ที่ให้สุขแก่ผู้อื่นนั่นเอง นี่แหละต้องใช้ผู้มีปัญญา
เราท่านจึงเห็น ร่องรอย ของการสร้างสถานที่ว่า ไม่ใช้สร้างขึ้นมาใหม่ ให้สวยงามตระการตา หากแต่สร้างด้วยวัสดุที่ดูแล้วไร้ค่า ผ่านปัญญาของหลวงพ่อนิพนธ์ ประติดประต่อ ผสมผสาน ให้กลายมาเป็นประโยชน์ ให้สุขแก่ผู้คน เพื่อผลแห่งสุขจะได้ย้อนไปยังเจ้าของวัตถุนั้นๆ
และที่เด่นชัดยิ่ง จักเห็นได้ว่า แรงงานที่ใช้สร้าง ล้วนแล้วแต่อาศัยคนป่วย ไม่ใช่จุดประสงค์เพื่อประหยัด แต่นั่นคือ รอยมือรอยตีน เมื่อแล้วเสร็จ มาใช้ อย่างน้อยก็กินน้ำเหงื่อของตน เหลือนั้นเป็นทาน ไม่เป็นหนี้ใคร
ในอดีต หากใครมาทันหรือเคยได้ยิน จะพบว่า คนที่เชื่อมโครงหลังคาเรือนพัก ที่ทานสมุนไพรมะพร้าว เชื่อหรือไม่ มาจากคนที่ตาสูญเสียการมองไม่เห็น จากอุบัติเหตุการเชื่อมท่อก๊าซ แล้วมาใช้มือคลำเชื่อมให้จนเสร็จ แล้วเขาก็มองเห็นอีกครั้ง จนตะโกนร้องอย่างดีใจ เมื่อเชื่อมตัวสุดท้ายของโครงหลังคาเสร็จ แม้นกระทั่ง พื้นที่นัง ก็มีพุทธประวัติ ที่เล่ากันไม่รู้เบื่อ ด้วยชายผู้หนึ่งเพื่อนพามา ด้วยเป็นโรคหัวใจ ที่หมอบอกห้ามออกแรงเด็ดขาด เพราะอาจเสียชีวิตได้ ในขณะที่เขานั่งอยู่ หลวงพ่อนิพนธ์ก็พูดกับเขาว่า นั่งไม่หายหรอก ไปหิ้วปูนสิ นั่นน่ะช่วยให้หายได้ เขาก็ตัดสินใจ ไปยืนในแถวหิ้วปูนหัวแถว จนเพื่อนกลับมาเห็นร้องด้วยความตกใจ กลัวเขาตาย แต่ปรากฎว่า เขาทำแล้วยิ่งแข็งแรงขึ้น จากนั้นก็เห็นชายผู้นี้ ยืนหัวแถวทุกสัปดาห์ในการเทปูน จนหายจากโรคหัวใจ
ปราชญ์ย่อมเห็น แลมีเมตตา จึงไม่แปลกเลยว่า ไม่ว่าสิ่งของจะดูเล็กน้อยสักเพียงไหน ก็เอามาเป็นประโยชน์ เพื่อช่วยคนผู้นั้น หากย้อนยุคถ้ำกระบอก พระเดินผ่านช้อนทานข้าวที่ตกอยู่ แม่ชีเมี้ยนตรัสสอนว่า หากเราไม่เก็บ เจ้าของช้อนที่รอบุญ รอทาน ก็หมดสิ้น หากแต่ท่านมีเมตตา มีปัญญา ก็เก็บช้อนขึ้นมา นำไปล้างทำความสะอาด เอามาทำประโยชน์ตักข้าว ตักแกง อีกครั้ง เจ้าของช้อน ก็จะได้บุญ ได้ทาน ที่ปรารถนาอีกครั้ง
แลมนุษย์ ที่เป็นโรค หลวงพ่อนิพนธ์ก็อุปมาเหมือนช้อนนั้น หากเราท่านร่วมกัน เป็น "สามัคคีธรรม" ช่วยคนนั้นๆ ขึ้นมาได้ จากคนที่สังคมรังเกียจ คนในบ้านบอกเป็นภาระ ด้วยมะกรูดลูก มะพร้าวลูก ของเราท่าน ทำให้คนผู้นั้น จากคนไร้ค่า กลายมาเป็นคนดี มีร่างกายสุขภาพดี จิตใจที่ดี คืนกลับไปสู่สังคมบ้าน และสังคมโลก นั่นคืองานของมูลนิธิไทยกรุณา ที่แม่ชีเมี้ยนปรารถนา
ไม่มีคนกดไลน์ กดแชร์ เป็นแสน เป็นล้าน ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่มีคนช่วยกันรักษาสิ่งดีดีนี้ไว้ ศาสตร์อันนี้ย่อมสูญไปจากประเทศไทย จะให้เป็นภาระของท่านอาสิ แต่ถ่ายเดียวไม่ควรเลย
บทสรุป ศาสตร์แห่งปราชญ์ สอนให้เป็นคนดี โดยเก็บมนุษย์ที่คนทั้งหลาย ปฏิเสธ เป็นภาระ มาปะติด ปะต่อ สร้างสุขภาพ นิสัยที่ดี ดังนั้น หากใคร ไม่อยากเป็นคนดี ไม่ต้องมา ไม่อยากเปลี่ยนพฤติกรรมใดๆ ก็ไม่ว่ากัน บ้านใคร บ้านมัน แม้นมาแล้ว ก็อย่านิ่งดูดาย ดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน หยอดตาแล้ว ขอให้ตาสว่าง สอดส่อง ทำในสิ่งที่ช่วยตน และผู้อื่น แม้นแต่หยิบขวดน้ำที่ทานแล้ว ไปใส่ในที่จัดไว้ ก็ช่วยชีวิตได้ทั้งของตน และของผู้ที่ทิ้ง ที่ยังไม่รู้ ยังไม่ทำ ไม่เชื่อว่า "ตัวกระทำไม่ตาย"
แม่ชีเมี้ยนชี้เสมอว่า "มนุษย์ย่อมเอนเอียงไปตามนิสัยกรรม" เรื่องของกรรม คนทั้งหลายจึงแห่แหนกันไปมืดฟ้ามัวดิน หากแต่เรื่องของธรรม เห็นอยู่ว่า ช่วยคนได้ มีคนหาย กลับเบื่อไม่อยากฟัง ไม่อยากทำ ไม่มอง ไม่รับรู้ ... มีแรงไปเต้นมากมาย มีแรงไปตีกัน ไปด่ากัน มีแรงฟันไร่ทำกินมากมาย แต่มีไหม จะมองไปต้นยาที่กินสักต้น แล้วไปรดน้ำพรวนดิน อย่างน้อยก็ทำเพื่อให้ตนมีกิน เหลือนั้นเป็นทาน ... แค่คนละต้น ก็มีสมุนไพรทานกันเหลือแล้ว
เมื่อคนเชื่อศาสตร์แห่งปราชญ์ ดั่งที่คนในสวนสมุนไพร บ่อพลอย เชื่อหลวงพ่อนิพนธ์ ต้นยาทุกต้นในแผ่นดินนั้น ล้วนแล้วแต่มีคนจอง ช่วยกันดูแล ต้นเล็กก็คนนึง ต้นใหญ่ ก็สองสามคน ช่วยกันดูแล ผลก็คือ แม้นสมุนไพรจะทานเพียงแค่แก้วเดียว ไม่มีกลับบ้าน หายกันมากมาย แค่อัมพฤกต์ทิ้งไม้เท้ากองเป็นภูเขา พระต้องเผาไฟทิ้ง
ศาสตร์นี้มีที่ให้เฉพาะคนอยากเป็นคนดี แต่พลาดไป เพราะไม่รู้เรื่องศาสนา ไม่จำเป็นต้องมีมาก หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ช่วยให้คนกลับมาเป็นคนดี ได้สักคน มีสุขภาพแข็งแรง นั่นก็เพียงพอแก่กุศลสำหรับตน เพราะสร้างคนดี ดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น มิใช่หรือ จึงเป็นศาสตร์เฉพาะคนอยากได้ ถ้าไม่อยากไม่ต้องมา ด้วยสิ่งที่ปรารถนายากที่จะประสพผล เพราะศาสนา ไม่ช่วยคนให้แรงคน กลับไปเป็นคนชั่ว ทำร้ายคนอีกอย่างแน่นอน นี่แหละจึงเรียก หลักปราชญ์ ไม่เป็นชี้ข้าคนชั่ว แต่สนับสนุนเป็นพี่เลี้ยงคนดี
วันจันทร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2561
เหมือนก็ได้เหมือน
การเดินตามรอยพระภูมี ผลแห่งความสำเร็จย่อมเป็นที่แน่นอน เบ็ดเสร็จ เฉียบขาด นั่นทำให้เราท่านได้เห็นสงฆ์สาวก สำเร็จอรหันต์ทุกตัวคนที่เดินตาม ในพุทธประวัติ
แลเมื่อเราท่านมาใช้ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ควรหรือไม่ที่เราท่านจะมองผู้ที่ประสพความสำเร็จตราบจนบั้นปลายชีวิต ในการใช้ศาสตร์นี้
นับแต่ปี ๓๐ ที่หลวงพ่อนิพนธ์เปิดสำนักสงฆ์มนต์บาลี ที่ลพบุรี หลวงพีชลอมักจะชี้ให้ดูตัวอย่างของท่านตอง ที่เป็นมะเร็งสมอง มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ในวัยประมาณ ๕๐ ปี เรียกว่าเป็นกรรมพันธ์ก็น่าได้ เพราะพี่น้องทั้ง ๕ คนของท่านตอง ล้วนแล้วแต่เป็นมะเร็งสมองทั้งสิ้น
บทเริ่มของท่านตองในการมา ท่านชลอเล่าให้ฟังว่า มาในเพศสงฆ์เพราะทำงานไม่ได้ ต้องทานยาแก้ปวดวันละกำมือ บังเอิญนั่งรถผ่านสำนักสงฆ์ของหลวงพ่อนิพนธ์ จะไปธุระ ได้ยินคนในรถ เลยตัดสินใจลงแลเข้ามาหาหลวงพ่อนิพนธ์ อันเป็นบทเริ่ม ไหนๆ ก็เป็นพระแล้ว ทำกิจแบบเดิมมันช่วยไม่ได้ ลองมาทำวินัยของพระพุทธเจ้าที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ฉันมืื้อเดียว รถเรือไม่ขึ้น เงินทองไม่รับไหม
ผลแห่งการปฏิบัติ ผลที่ได้ย่อมเป็นเครื่องฟ้อง ทำถูกผลถูกย่อมเกิด ทำผิดผลผิดย่อมเกิด จากคนที่ทำไร่ที่เขาค้อ เพชรบูรณ์ในที่ทหารผ่านศึก ที่รัฐแบ่งให้ หลังสงคราม ทำเพื่อตน ท่านตองทำตามหลวงพ่อนิพนธ์ มาปลูกต้นมะพร้าว ต้นยา แทน ...
คำหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้สติท่านตอง คือ "ต้นไม้รอด คนรอด" ท่านตองก็ดูแลต้นไม้อย่างดี แม้นแต่ต้นมะพร้าวในมูลนิธิ เกือบทั้งหมด ก็ล้วนแล้วด้วยการปลูกของท่านตองทั้งสิ้น ด้วยเชื่อว่า "ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว"
ท่านตอง หายจากการเป็นมะเร็งสมอง และขอลาสึก หลังจากบวชได้ประมาณ ๑๐ พรรษา กลับไปทำไร่อยู่เขาค้อ กลายเป็นราษฎรอาวุโสดีเด่น ตราบสิ้นลม ในวัย ๘๗ ปี
มาวันนี้ มีผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นมะเร็งและหมอกำหนดเวลาตาย เช่นเดียวกับท่านตอง มาใช้วิธีของท่านตอง นั่นคือ บวช ทำนิสัย เรียนรู้ พิจารณา ระยะหนึ่ง แล้วก็มาทำตน เหมือนท่านตอง ในแผ่นดินของหลวงพ่อนิพนธ์ที่ซอย ๘ ในการดูแล ต้นไม้ ต้นยา
จากที่หมอบอกอยู่ได้ไม่ถึงปี ผ่านมาวันนี้ ก็สามปี แถมด้วยสุขภาพที่แข็งแรง ทำงานดูแลต้นไม้ ต้นยา แข็งแรงยิ่งกว่าคนปกติเสียอีก
แนวทางอย่างนี้ ผลอย่างนี้ คนทั้งหลาย ไม่ยอมเรียนรู้ ไม่เดินตาม คนป่วยมากมายหวังแต่จะหายโดยไม่ทำอะไรเลย ไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ให้สุขแก่ผู้อื่น แต่หวังสุขเกิดแก่ตน จึงไม่แปลก ที่เมื่อมีหมอสมุนไพร โด่งดังมา หลายคนจึงแห่แหนกันไป เพราะมันง่าย โดยไม่เคยคิดเลยว่า ผลสำเร็จ เคยเกิดกับใคร ผู้ใด ให้เห็น นอกจากคำบอกเล่า
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ว่า ทำเหมือนใครก็ไดแบบนั้น ทำเหมือนคนทั้งโลก เอาง่าย หวังจะหายง่าย ไม่คิดเลยว่า โรคมันเป็นกรรม เมื่อความจริงปรากฎ ก็จะเสมือนไฟไหม้ฟาง รู้ตัวเมื่อต้องตาย ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ทำยาก แต่ทำได้ ใครทำเหมือนท่านตอง หรือแม่นวย ได้ ก็รอดเหมือนกันได้
พึงระลึกว่า คู่ต่อสู้มิใช่โรค แต่เป็นกรรม ... ประวัติศาสตร์ มีแต่ธรรม เท่านั้นที่ชนะได้ คนจะหาย คือ ต้องทำธรรม นั่นคือเหตุผลว่า "ทำไมต้องทำนิสัย" ผลสุดท้าย ของศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงได้มาซึ่ง "คนดี" และได้ "ความไม่มีโรค" เป็นของแถม ในความขันติ มานะ อดทน เปลี่ยนตน ตามธรรมคำสอนนี้
ดังนั้น การมาเพื่อหายโรค จะพึงสำเร็จได้ ก็ต้องพึงเปลี่ยนเป็น "คนดี" ที่ให้สุขผู้อื่นเป็นอุปนิสัย จะหายเหมือนท่านตอง แม่นวย ก็ลองทำเหมือนกันแล้วดูผล นั่นจึงต้องเริ่มเปิดใจ ฟัง พิจารณา หากเชื่อ แล้วทำคำสอน มิใช่ทำตามใจ ความอยากของตน เอาง่าย หายเร็วๆ ไม่มีหรอก วันเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
แลเมื่อเราท่านมาใช้ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ควรหรือไม่ที่เราท่านจะมองผู้ที่ประสพความสำเร็จตราบจนบั้นปลายชีวิต ในการใช้ศาสตร์นี้
นับแต่ปี ๓๐ ที่หลวงพ่อนิพนธ์เปิดสำนักสงฆ์มนต์บาลี ที่ลพบุรี หลวงพีชลอมักจะชี้ให้ดูตัวอย่างของท่านตอง ที่เป็นมะเร็งสมอง มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ในวัยประมาณ ๕๐ ปี เรียกว่าเป็นกรรมพันธ์ก็น่าได้ เพราะพี่น้องทั้ง ๕ คนของท่านตอง ล้วนแล้วแต่เป็นมะเร็งสมองทั้งสิ้น
บทเริ่มของท่านตองในการมา ท่านชลอเล่าให้ฟังว่า มาในเพศสงฆ์เพราะทำงานไม่ได้ ต้องทานยาแก้ปวดวันละกำมือ บังเอิญนั่งรถผ่านสำนักสงฆ์ของหลวงพ่อนิพนธ์ จะไปธุระ ได้ยินคนในรถ เลยตัดสินใจลงแลเข้ามาหาหลวงพ่อนิพนธ์ อันเป็นบทเริ่ม ไหนๆ ก็เป็นพระแล้ว ทำกิจแบบเดิมมันช่วยไม่ได้ ลองมาทำวินัยของพระพุทธเจ้าที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ฉันมืื้อเดียว รถเรือไม่ขึ้น เงินทองไม่รับไหม
ผลแห่งการปฏิบัติ ผลที่ได้ย่อมเป็นเครื่องฟ้อง ทำถูกผลถูกย่อมเกิด ทำผิดผลผิดย่อมเกิด จากคนที่ทำไร่ที่เขาค้อ เพชรบูรณ์ในที่ทหารผ่านศึก ที่รัฐแบ่งให้ หลังสงคราม ทำเพื่อตน ท่านตองทำตามหลวงพ่อนิพนธ์ มาปลูกต้นมะพร้าว ต้นยา แทน ...
คำหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้สติท่านตอง คือ "ต้นไม้รอด คนรอด" ท่านตองก็ดูแลต้นไม้อย่างดี แม้นแต่ต้นมะพร้าวในมูลนิธิ เกือบทั้งหมด ก็ล้วนแล้วด้วยการปลูกของท่านตองทั้งสิ้น ด้วยเชื่อว่า "ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว"
ท่านตอง หายจากการเป็นมะเร็งสมอง และขอลาสึก หลังจากบวชได้ประมาณ ๑๐ พรรษา กลับไปทำไร่อยู่เขาค้อ กลายเป็นราษฎรอาวุโสดีเด่น ตราบสิ้นลม ในวัย ๘๗ ปี
มาวันนี้ มีผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นมะเร็งและหมอกำหนดเวลาตาย เช่นเดียวกับท่านตอง มาใช้วิธีของท่านตอง นั่นคือ บวช ทำนิสัย เรียนรู้ พิจารณา ระยะหนึ่ง แล้วก็มาทำตน เหมือนท่านตอง ในแผ่นดินของหลวงพ่อนิพนธ์ที่ซอย ๘ ในการดูแล ต้นไม้ ต้นยา
จากที่หมอบอกอยู่ได้ไม่ถึงปี ผ่านมาวันนี้ ก็สามปี แถมด้วยสุขภาพที่แข็งแรง ทำงานดูแลต้นไม้ ต้นยา แข็งแรงยิ่งกว่าคนปกติเสียอีก
แนวทางอย่างนี้ ผลอย่างนี้ คนทั้งหลาย ไม่ยอมเรียนรู้ ไม่เดินตาม คนป่วยมากมายหวังแต่จะหายโดยไม่ทำอะไรเลย ไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ให้สุขแก่ผู้อื่น แต่หวังสุขเกิดแก่ตน จึงไม่แปลก ที่เมื่อมีหมอสมุนไพร โด่งดังมา หลายคนจึงแห่แหนกันไป เพราะมันง่าย โดยไม่เคยคิดเลยว่า ผลสำเร็จ เคยเกิดกับใคร ผู้ใด ให้เห็น นอกจากคำบอกเล่า
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ว่า ทำเหมือนใครก็ไดแบบนั้น ทำเหมือนคนทั้งโลก เอาง่าย หวังจะหายง่าย ไม่คิดเลยว่า โรคมันเป็นกรรม เมื่อความจริงปรากฎ ก็จะเสมือนไฟไหม้ฟาง รู้ตัวเมื่อต้องตาย ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ทำยาก แต่ทำได้ ใครทำเหมือนท่านตอง หรือแม่นวย ได้ ก็รอดเหมือนกันได้
พึงระลึกว่า คู่ต่อสู้มิใช่โรค แต่เป็นกรรม ... ประวัติศาสตร์ มีแต่ธรรม เท่านั้นที่ชนะได้ คนจะหาย คือ ต้องทำธรรม นั่นคือเหตุผลว่า "ทำไมต้องทำนิสัย" ผลสุดท้าย ของศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงได้มาซึ่ง "คนดี" และได้ "ความไม่มีโรค" เป็นของแถม ในความขันติ มานะ อดทน เปลี่ยนตน ตามธรรมคำสอนนี้
ดังนั้น การมาเพื่อหายโรค จะพึงสำเร็จได้ ก็ต้องพึงเปลี่ยนเป็น "คนดี" ที่ให้สุขผู้อื่นเป็นอุปนิสัย จะหายเหมือนท่านตอง แม่นวย ก็ลองทำเหมือนกันแล้วดูผล นั่นจึงต้องเริ่มเปิดใจ ฟัง พิจารณา หากเชื่อ แล้วทำคำสอน มิใช่ทำตามใจ ความอยากของตน เอาง่าย หายเร็วๆ ไม่มีหรอก วันเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2561
ถูกใจหรือถูกต้อง
จดหมายน้อยจากสมาชิก เขียนบรรยายสภาพความอึดอัดของตน ที่มีต่อมูลนิธิไทยกรุณาในวันนี้ว่า ทำไมท่านอาสิ จึงพูดนาน พูดซ้ำๆกันอยู่นั่นแหละ ทำไมไม่แจกสมุนไพรเร็วๆ มีจุดมุ่งหมายอะไร หากอยากได้เงิน ก็เปิดหน้าขายกันไปเลย จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลา ต้องมานั่งทนฟัง ต้องมาทำโน่นนี่นั่น ที่ตนไม่ถูกใจ
นั่นก็ตรงกับใจเราเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ มูลนิธิไทยกรุณา ควรจะเปิดหน้าแลกกับคนป่วยที่มากันไปเลย ว่าจะเอาอะไรกันแน่ ใครเป็นคนนำ ใครเป็นคนตาม
คำสั่งสุดท้ายของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่มีแก่ท่านอาสิ และผู้ติดตาม ให้พิจารณาว่า มูลนิธิไทยกรุณานั้น จะทำหรือไม่ก็ตามใจ หากทำต่อ การกระทำนั้นก็ทำเพื่อเป็นทาน เป็นโอกาสแก่เพื่อนคนไทย ได้มีโอกาสพ้นโรค พ้นภัย เป็นทางเลือก ถึงแม้นจะมีคนทำได้น้อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย
หากแต่สิ่งที่ต้องพึงระวัง นั่นคือ อย่าเดินซ้ำรอยของท่าน เพราะด้วยความเมตตาที่มีสูงเป็นอุปนิสัย จึงปล่อยให้สถานที่นี้ แทนที่จะเป็นวัด เพื่อกล่อมเกลานิสัย ให้มีนิสัยของพระพุทธเจ้า กลับปล่อยให้คนที่มา ทำให้สถานที่นี้กลายเป็นตลาด มาพอกพูนนิสัยของแต่ละคน มาเอาแต่ความอยากของตน คือ อยากหายแต่ฝ่ายเดียว โดยไม่สนที่จะควบคุม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตน แต่อย่างใด ผลสุดท้าย หลวงพ่อนิพนธ์จึงต้องรับผิดชอบ ท่านจึงต้องตกในฐานะ "ช่วยเขาแล้วเราตาย"
วันนี้ ปีนี้ เมื่อสมาชิกเปิดความในใจ เราก็อยากเปิดความในใจ ของหลวงพ่อนิพนธ์ว่า "ตลาดช่วยใครไม่ได้" ถ้าจะมาเพื่อบรรเลงนิสัย อย่ามาให้เสียเวลาเลย ไปในที่ที่ตนชอบ และบรรเลงนิสัยได้เต็มที่ ใช้เงินซื้อทุกสิ่งที่ต้องการได้ ดีกว่าไหม บ้านใคร บ้านมัน
คนที่มาที่นี้ ไม่ต้องมาก เพราะไม่ได้ทำเพื่อหาเงิน เพื่อลาภยศ ชื่อเสียง แต่ทำเพื่อรักษาสิ่งดีๆที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ คือ เป็นวัด ที่เดินตามรอยของพระพุทธเจ้า ครั้งพุทธกาล มีไว้เป็นสถานที่ลดนิสัยของตนเป็นบางสิ่งบางอย่างลงให้จงได้ เป็นตัวกระทำที่ตนจะได้พึ่ง ส่วนหายโรคนั้นเป็นของแถม เพื่อตอบแทนพระคุณแผ่นดินเกิดของท่าน .... ให้กับเฉพาะผู้ที่อยากได้
จะมีคนเดียว ที่นี่ก็ยินดี ดีกว่า มีเป็นพันเป็นหมื่น แต่มาแล้ว ไม่ทำตามรอย มาทำให้วัด กลายเป็นตลาด ทำให้สถานที่ของแม่ชีเมี้ยน ที่สร้างมาเพื่อให้คนเป็นคนดี กลายเป็นที่ฆ่ามนุษย์ ไม่ควรเลย
เชื่อว่า ทุกคนไม่มีใครโง่ คนทำก็ไม่โง่ เงินไม่เอา ลาภยศ ชื่อเสียงไม่เอา แต่จะมาทำแล้วได้บาป จะทำเพื่อ ศาสนาเป็นหลักปราชญ์ สอนให้เป็นคนมีจิตวิญญาณที่สูง มีเมตตา มีเสียสละ มีนิสัยของพระพุทธเจ้า เมื่อผีเข้ามาย่อมร้อนเป็นธรรมดา จะหายร้อนคนผู้นั้นต้องเอาผี คือนิสัยตนออกจากตัว จึงคลายร้อนได้
บทสรุป ถ้าจะเอาความถูกใจ ไปที่อื่น ถ้าจะเอาความถูกต้อง ทำแล้วช่วยตนได้ พ้นโรคได้ ทำไมไม่ทำตามผุ้นำสอน ก็ถ้าความคิดตนดีกว่า ถูกต้อง สถานที่นี้ก็ไม่มีประโยชน์กับคนผู้นั้น จะมาเพื่ออะไร
เราจึงอยากจะชี้ว่า หากให้คนทั้งหลายนำ จุดจบของที่นี่ คงไม่ต่างอะไรกับถ้ำกระบอก ที่วันนี้ช่วยอะไรใครไม่ได้เลย แม้นสูตรสมุนไพรจะเต็มตู้ หากอยากจะมีที่ที่ทำให้คนพ้นโรค พ้นทุกข์ได้ จะไปกันอย่างไร ถ้าไม่เอาธรรมคำสอนของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนมานำตน
เราจึงอยากแนะนำว่า ใครไม่ชอบ ไม่ถูกใจ ไม่ได้โกรธเคือง แต่กรุณาถอยออกไปก่อน ดูเขาทำ แล้วดูผล ว่าคนที่มาแล้วทำ ผลเป็นอย่างไร ถ้าช่วยไม่ได้หรือทำผิด ผลมันก็ประจานเอง แต่ถ้ามีคนทำได้ แล้วหาย แล้วทำไมจึงเอาความคิดตนมาใส่ที่นี่เล่า ก็ที่ไหนที่ว่าดี ว่าแน่ ไม่ว่า หมอผี หมอพระ หมอสมุนไพร เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ไปหามาหมดแล้ว ช่วยได้ไหมเล่า เมื่อมีที่ที่ช่วยคนได้ ทำไมไม่ทำตามเขา ดันจะให้เขามาทำตามนิสัยตน จะได้ฉิบหายกันทั้งสองฝ่ายนั่นเอง แทนที่จะให้คนรู้จูง ดันอยากจะจูงคนรู้เสียนี่
ไม่เชื่อหรือ ว่าความรู้เรื่องศาสนาที่ท่านทั้งหลายมี นั้นไม่ใช่ เมื่อทำแล้วผลจึงช่วยตนไม่ได้ ก็ดูเอาเถอะ โรงพยาบาลสงฆ์มันประจานอยู่ สงฆ์ของพระภูมี ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทำตามคำสอนที่ถูก ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นหรอก นับประสาอะไรกับท่านที่เดินตามคำสอนที่ผิด ทำตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น เข้าวัดตั้งแต่ไม่รู้ความ ทำไมจึงไม่มีผลช่วยตน ลองพิจารณาดู
บุญญาธิการของศาสนาพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ลองฟัง พิจารณา แล้วทำตาม ดูสิ แค่หายโรคนั้น "กระจอกโคตรๆ" นี่มาไม่ทำ จะเอาแต่สมุนไพร จะเอาแต่สิ่งที่ตนชอบ อยากทำ ... หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า "ศาสนาไม่ใช่ขี้ข้าน่ะโว้ย ต้องสนองความอยากของพวกท่าน" พระพุทธเจ้าเขาเอาเฉพาะคนทำได้เท่านั้น คนไม่ทำ จะร้องขอสักฉันใด เขาไม่สนแม้แต่แลตามอง
จำไว้น่ะ หลวงพ่อนิพนธ์เตือนสติ สำหรับผู้ที่เชื่อท่านว่า "ถ้าเราไม่มีที่เว้น แม้นแต่แผ่นดินของแม่ชีเมี้ยนที่จะทำให้เเราท่านมีสติ ลดกิริยาลงได้ อย่าหวังเลยว่า เวรกรรมจะเว้นเราท่าน เราท่านจะพ้นจากโรคทั้งหลายทั้งปวงได้ ทานแต่สมุนไพร หายโรคนี้ก็ไปเป็นโรคนั้น หรือไม่ก็ประสพอุบัติเหตุ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน การมาพบก็สูญเปล่า ที่นี่เป็นวัด อย่าทำให้เป็นตลาด เพราะตลาดช่วยใครไม่ได้ มาวัด ก็ต้องฟังคำสอน ใจมันไม่ชอบ ฟังบ่อยๆ น้ำหยดลงหินยังกร่อน ฟังนานๆ ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตนบ้างไม่มากก็น้อย ตามสติปัญญาและกำลัง แต่ถ้าฟังสักเท่าใดไม่เปลี่ยนเลย นั่นมันคนดิบ พระพุทธเจ้าสอนว่า อย่าไปคบ อย่าไปยุ่ง กรรมเขาจะหาม อย่าไปสอด"
ทุกคำสอน ทุกกิจกรรม ย่อมต้องมีผลดี มิเช่นนั้นแล้ว คนสอนนั่นแหละเป็นผู้รับกรรมที่เอาคนทุกข์มาเคี่ยวเข็ญทรมาน ก็เงินทองไม่รับ ผลประโยชน์ไม่เอา จะมาสอนให้ทำเพื่อ ถ้าทำแล้วมันเป็นกรรม ... คนสอนเขาไม่โง่ แลท่านก็ไม่โง่เช่นกัน จะพิจารณาสิ่งใด ทำไมไม่ดูที่ผล ถ้าผลถูกเกิด จะบอกว่าวิธีการผิดได้อย่างไร ... วิธีการมันถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจท่านต่างหาก .... ก็สมควรบ้านใครบ้านมัน จะได้ไม่เป็นเวรเป็นกรรมซึ่งกันและกัน ดีกว่าไหม
คำถามก็คือ เมื่อท่านฟังซ้ำๆมาต้้งนาน พิจารณาหรือยัง เข้าใจหรือยัง ที่สำคัญ ลงมือทำหรือยัง ... ฤาจะมาเพื่อนิสัยชูชก กูจะเอาถ่ายเดียว ไม่ว่ากัน แต่ตอนจบ อย่ามามั่ว มาโบ้ย ว่าสถานที่นี้ไม่ดี ช่วยไม่ได้ มันไม่ยุติธรรม เพราะคนทำได้ คนหาย เขามีเป็นพยานใหญ่
วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2561
แค่ตาเห็น
แทบทุกตัวคน มักมีความฝันความคิดว่า โรคที่ตนเป็นอยู่นั้น ต้องมีคนที่ช่วยให้หายโรคได้ ทุกคนจึงเสาะแสวงหา
คนที่มีแรงบันดาลใจ ที่จะหายารักษาหรือกรรมวิธีรักษา ด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม ก็มุ่งมั่นค้นคว้าหาหนทางในการพิชิตโรค ให้จงได้
การศึกษาในกระบวนการสู้โรค เสาะหาสาเหตุแห่งการเป็นโรค ก็สิ้นสุดจบลงเท่าที่ตาเห็น นั่นคือ เชื้อโรค หรือ สารใดๆ เท่านั้นเอง แล้วก็หาหนทางพิชิต หรือ กำจัด เชื้อหรือสารนั้นๆ ให้หมดลงให้จงได้
จึงไม่แปลกเลยว่า ทำไม ตราบเท่าทุกวันนี้ มีบุคคลเดียวที่สามารถพิชิตโรค ได้ และกล่าวว่า "ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ" นั่นคือ ทำให้ถึงซึ่งความไม่มีโรคได้ คือ พระพุทธเจ้า
หากจะพิจารณาว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็หลักของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ชี้ให้พิจารณาว่า พระภูมี ไม่ได้มองโรคว่าเป็นโรค มาจากเชื้อ หรือสาร โน่นนี่นั่น แต่มองถึงต้นเหตุที่แท้จริง ว่ามันเกิดจาก "อำนาจกรรม" ทำให้เราท่านเป็นทุกข์ต่างหากนั่นเอง
เมื่อรู้เขา แล้วก็รู้เรา การแก้ไขก็จึงทำได้ถูกจุด มิเพียงแต่หายจากโรค ยังเลยไปถึงการไม่ย้อนกลับไปเป็นโรคอีก ไม่ว่าภพนี้ หรือภพหน้า
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา ไม่เชื่อหรือ ว่าโรคมันติดตัวเราท่านไปได้ ก็ดูคนทั้งหลายที่เกิดมา ยังไม่ได้ทำกรรมอะไรเลย แต่หมอก็วินิจฉัยว่า คนนี้มีกรรมพันธ์ เป็นโรคมะเร็งบ้าง เบาหวานบ้าง .... มิใช่หรือ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้หนทางว่า ทำไมการทำแต่ความดีมันจึงไม่พอ เพราะความดีชนะกรรมไม่ได้ ต้องอาศัย "บุญ" ของพระพุทธเจ้า ที่ซึ่งผู้ที่จะทำได้ ก็ต้องมีนิสัยของพระพุทธเจ้าก่อน อำนาจกรรมที่ทำให้เกิดโรค มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ คือ เป็นโรคมาให้ทุกข์ อำนาจบุญ หากทำจริง มีจริง ก็มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ นั่นคือ ทำให้หายทุกข์ คือ หายโรค นั่นเอง สองอำนาจนี้ ใช้ตามองไม่เห็น หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ต้องใช้ปัญญาพิจารณาจึงเห็นได้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมมูลนิธิไทยกรุณา จึงมีคนหายจากโรคต่างๆได้ ก็คนที่ทำได้ มิใช่เพียงแค่ทานสมุนไพร แต่ต้องมีพฤติกรรม การกระทำ สอดคล้อง เป็นคุณสมบัติ สร้างบุญตามคำสอน จึงช่วยตนได้ แม้นจะมีมากมาย เป็นพันเป็นหมื่น แต่คนทั้งหลายที่เอาแต่สมุนไพร แลไม่ประสพผล มีมากกว่ามาก เป็นแสนคน
ถ้าพูดให้ชัด หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้เห็นว่า คนไม่หาย ก็เขาเห็นที่นี่เป็นโรงทาน แจกสมุนไพร เท่านั้นเอง แต่คนที่หาย เขาจะเห็นที่นี่เป็นวัด เป็นที่สร้างบุญ สร้างทาน บารมี เพื่อช่วยตน เพราะเชื่อในคำสอนที่ว่า "ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตน" ไม่ใช่รอมือแบมือขอ นั่นมันชูชก เขามาเพื่อจะเป็นพระเวสสันดร แม้นจะชั่วครู่ชั่วยาม หนึ่งวันในหนึ่งสัปดาห์ นั่นก็เพียงพอให้หายโรคแล้ว และยิ่งนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เป็นนิสัยใหม่แก่ตนได้ นั่นแลได้ลาภอันประเสริฐ คือ ความไม่มีโรค มิใช่ชูชก ที่หายจากโรคนี้ เป็นโรคนั้น แน่แท้
ใช้ตามอง มองสมุนไพร มันก็เป็นสมุนไพร ใช้ปัญญามอง จะเห็นสัจจะธรรม ของพระพุทธเจ้า อยากจะสุข ต้องทุกข์ก่อนในวันนี้ เช่นที่ท่านอาสิสอน แล้วเตือนตน จะทำสิ่งใด ให้สุขในวันนี้ แล้วทุกข์ในวันหน้าอีกทำไม
นี่แลทำไมสมุนไพรของพระภูมี จึงต้อง ขม เผ็ด ร้อน ...
คนที่มีแรงบันดาลใจ ที่จะหายารักษาหรือกรรมวิธีรักษา ด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม ก็มุ่งมั่นค้นคว้าหาหนทางในการพิชิตโรค ให้จงได้
การศึกษาในกระบวนการสู้โรค เสาะหาสาเหตุแห่งการเป็นโรค ก็สิ้นสุดจบลงเท่าที่ตาเห็น นั่นคือ เชื้อโรค หรือ สารใดๆ เท่านั้นเอง แล้วก็หาหนทางพิชิต หรือ กำจัด เชื้อหรือสารนั้นๆ ให้หมดลงให้จงได้
จึงไม่แปลกเลยว่า ทำไม ตราบเท่าทุกวันนี้ มีบุคคลเดียวที่สามารถพิชิตโรค ได้ และกล่าวว่า "ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ" นั่นคือ ทำให้ถึงซึ่งความไม่มีโรคได้ คือ พระพุทธเจ้า
หากจะพิจารณาว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็หลักของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ชี้ให้พิจารณาว่า พระภูมี ไม่ได้มองโรคว่าเป็นโรค มาจากเชื้อ หรือสาร โน่นนี่นั่น แต่มองถึงต้นเหตุที่แท้จริง ว่ามันเกิดจาก "อำนาจกรรม" ทำให้เราท่านเป็นทุกข์ต่างหากนั่นเอง
เมื่อรู้เขา แล้วก็รู้เรา การแก้ไขก็จึงทำได้ถูกจุด มิเพียงแต่หายจากโรค ยังเลยไปถึงการไม่ย้อนกลับไปเป็นโรคอีก ไม่ว่าภพนี้ หรือภพหน้า
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา ไม่เชื่อหรือ ว่าโรคมันติดตัวเราท่านไปได้ ก็ดูคนทั้งหลายที่เกิดมา ยังไม่ได้ทำกรรมอะไรเลย แต่หมอก็วินิจฉัยว่า คนนี้มีกรรมพันธ์ เป็นโรคมะเร็งบ้าง เบาหวานบ้าง .... มิใช่หรือ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้หนทางว่า ทำไมการทำแต่ความดีมันจึงไม่พอ เพราะความดีชนะกรรมไม่ได้ ต้องอาศัย "บุญ" ของพระพุทธเจ้า ที่ซึ่งผู้ที่จะทำได้ ก็ต้องมีนิสัยของพระพุทธเจ้าก่อน อำนาจกรรมที่ทำให้เกิดโรค มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ คือ เป็นโรคมาให้ทุกข์ อำนาจบุญ หากทำจริง มีจริง ก็มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ นั่นคือ ทำให้หายทุกข์ คือ หายโรค นั่นเอง สองอำนาจนี้ ใช้ตามองไม่เห็น หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ต้องใช้ปัญญาพิจารณาจึงเห็นได้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมมูลนิธิไทยกรุณา จึงมีคนหายจากโรคต่างๆได้ ก็คนที่ทำได้ มิใช่เพียงแค่ทานสมุนไพร แต่ต้องมีพฤติกรรม การกระทำ สอดคล้อง เป็นคุณสมบัติ สร้างบุญตามคำสอน จึงช่วยตนได้ แม้นจะมีมากมาย เป็นพันเป็นหมื่น แต่คนทั้งหลายที่เอาแต่สมุนไพร แลไม่ประสพผล มีมากกว่ามาก เป็นแสนคน
ถ้าพูดให้ชัด หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้เห็นว่า คนไม่หาย ก็เขาเห็นที่นี่เป็นโรงทาน แจกสมุนไพร เท่านั้นเอง แต่คนที่หาย เขาจะเห็นที่นี่เป็นวัด เป็นที่สร้างบุญ สร้างทาน บารมี เพื่อช่วยตน เพราะเชื่อในคำสอนที่ว่า "ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตน" ไม่ใช่รอมือแบมือขอ นั่นมันชูชก เขามาเพื่อจะเป็นพระเวสสันดร แม้นจะชั่วครู่ชั่วยาม หนึ่งวันในหนึ่งสัปดาห์ นั่นก็เพียงพอให้หายโรคแล้ว และยิ่งนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เป็นนิสัยใหม่แก่ตนได้ นั่นแลได้ลาภอันประเสริฐ คือ ความไม่มีโรค มิใช่ชูชก ที่หายจากโรคนี้ เป็นโรคนั้น แน่แท้
ใช้ตามอง มองสมุนไพร มันก็เป็นสมุนไพร ใช้ปัญญามอง จะเห็นสัจจะธรรม ของพระพุทธเจ้า อยากจะสุข ต้องทุกข์ก่อนในวันนี้ เช่นที่ท่านอาสิสอน แล้วเตือนตน จะทำสิ่งใด ให้สุขในวันนี้ แล้วทุกข์ในวันหน้าอีกทำไม
นี่แลทำไมสมุนไพรของพระภูมี จึงต้อง ขม เผ็ด ร้อน ...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)