หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นเสมอว่า มูลนิธิไทยกรุณา เสมือนหนึ่งจำลองแบบของศาสนา มาให้พิจารณา แล้วลองปฏิบัติ
ด้วยเล็งเห็นว่า เป็นทางเลือก เป็นโอกาส ที่จะทำให้คนมากหลาย ได้มีโอกาสมาสัมผัส ได้เรียนรู้เรื่องศาสนา
หากย้อนไปในยุคถ้ำกระบอก หรือ ยุคต้นในช่วงปี ๓๐ กระบวนการที่ถูกใช้ และมีผลเด็ดขาดจนเป็นที่เล่าขานในสรรพคุณสมุนไพร หาใช่แต่เพียงสมุนไพรไม่ แต่เป็นความเข้มข้นของการปฏิบัติ นั่นก็คือ ใครจะรักษา ต้องบวชสถานเดียวเท่านั้น
ด้วยวินัยสงฆ์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ก็ทำให้ต้องเปลี่ยนพฤติกรรม นิสัย ด้วยวินัยในตัวอยู่แล้ว ดังนั้น หลายคนจึงได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวอย่างมั่นใจว่า บวชได้ไหม บวชได้ก็รอด
ก็แล้วทีนี้ หากมาพิจารณามูลนิธิไทยกรุณา หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า ก็ไม่บังคับ แล้วแต่สติปัญญา ใครจะมองเห็น ทำได้ก็รอด นั่นก็หมายความว่า แม้นโอกาสจะเปิดกว้างขึ้น ผู้คนมากมายได้มาสัมผัสง่ายขึ้น แต่การจะทำวินัยนั้นกลับยากยิ่ง เพราะคนมากหลายมักจะใช้ตามอง แล้วตัดสิน ไม่ใช่ด้วยเหตุด้วยผล
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า อาทิ วินัยของสงฆ์ ที่ต้องวิรัชกาย เปลี่ยนตน จากฆราวาส มาเป็นสงฆ์ เรียกว่า กลับหน้ามือเป็นหลังมือ ในพฤติกรรมเลย แล้วมาสังกัดตนในวัด เมื่อแปลงมาใช้กับคนในมูลนิธิ ด้วยการบอกให้มาสัปดาห์ละครั้ง เมื่อมาแล้ว ก็ต้องทำวินัยนี้เหมือนสงฆ์เช่นกัน คือ วิรัชกาย สังกัดตน ในระหว่างวัน หรือ พิธีกรรมที่ช่วยตน
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เจตนาเป็นเรื่องสำคัญที่จะส่งผลต่อการกระทำ การกระทำด้วยเจตนา แลถึงพร้อม ด้วย กาย วาจา ใจ ผลจึงสมบูรณ์ เมื่อตั้งเจตนามามูลนิธิไทยกรุณา มาเพื่ออะไร มาหาใคร พิจารณาแล้วจึงทำ
หากแต่คนมากมายไม่พิจารณา จึงขาดเจตนา แล้วทำ ผลก็คือ การมามูลนิธิไทยกรุณา แทนที่จะมาหาตัวกระทำเพื่อช่วยตน กลับกลายมีแต่พฤติกรรมที่ทำลาย ตัวกระทำของตน ทั้งหมด จนบางคน ไม่เหลืออะไรติดกลับไปเลย นอกจากซากของสมุนไพรเท่านั้นเอง
ท่านจึงชี้ให้ดูเสมอ พระต้องสังกัดกาย เมื่อเราท่านมามูลนิธิ ในระหว่างพิธีกรรม ก็ควรสังกัดกาย ไม่ออกไปไหน เพื่อให้สมเจตนา มาหาศาสนา แต่ครั้นมาถึง กิเลสนิสัย เห็นแก่ของถูกเล็กๆน้อยๆ เห็นแก่ความสบาย หรือ อะไรก็ตามแต่ ลงรถปุ๊บ วิ่งไปร้านค้าปั๊บ เร็วๆรีบไปซื้อของถูก ยื่นบัตรเสร็จ เร็วๆ ไปเดินซื้อของ หรือระหว่างวัน ก็เร็วๆ ไปทำธุระก่อน เดี๊ยวกลับมารับสมุนไพรก็ได้ ยังมีเวลา
ท่านจึงบอกว่าน่าเสียดายเวลาที่มา จะเว้นตามนิสัยสักน้อยก็ไม่ได้ หาตัวกระทำสร้างสุขให้ผู้อื่นเพื่อช่วยตนก็ไม่มี ก็บอกมาหาแม่ชีเมี้ยน หาศาสนา ให้ช่วย ร้านค้าก็คาบไปแดก เอาของถูกกว่าห้าบาทสิบบาทมาล่อ ก็ไปเสียแล้ว ทำลายผลที่ตนปรารถนาไปเสียสิ้น
บทสรุป คนสองคน ทำเหมือนกัน มาเหมือนกัน ซื้อเหมือนกัน คนหนึ่ง ซื้อในระหว่างพิธีกรรม แต่อีกคนซื้อ หลังจากจบพิธีกรรม ต่างกันที่ห้ามใจ คนหนึ่งรอไม่ไหว อีกคนทำสิ่งที่ช่วยตนก่อน มีเวลาเหลือแล้วจึงไป นี่แลแยกให้เห็นชัด ว่าคนไหนเป็นปราชญ์
การมา คือมาเพื่อสังกัดกาย มีที่เว้น แค่เว้นกิเลสกาย ก็ยังทำไม่ได้ ควบคุมตนไม่ได้ อยากออกจากพื้นที่บริเวณมูลนิธิไม่ได้ อยากออกจากห้องสวดมนต์ไม่ได้ จะพาวิญญาณขึ้นกระไดไปที่สูงได้ฉันใด มีแต่คิดจะไป พฤติกรรมกลับผลักตนให้ตกกระได
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเตือนสติเสมอ แล้วแต่ใครจะมอง ที่นี่เป็นอะไร แล้วทำ พฤติกรรมก็จะเป็นคำตอบ ว่าคนผู้นั้นจะหายหรือไม่ เพราะใครก็ช่วยใครไม่ได้ อยากได้ต้องทำเอง
คนจะรอด ต้องมองว่าที่นี่ไม่ธรรมดา ต้องลดกิริยา เดินตามรอยพระภูมีเป็นบางสิ่งบางอย่าง ถ้ามาเพื่อจะได้เจอพวก คุยสรวลเสเฮฮา ได้ช๊อปปิ๊งของถูก ได้สมุนไพรฟรี สิ่งที่ได้คุ้มกันหรือ เพราะสิ่งที่กำลังจะเสีย คือ "ชีวิต"