หลวงพ่อนิพนธ์ มักเน้นย้ำพระเสมอว่า สิ่งที่ศาสนาสอน นั้นคือ "ไม่เห็นแก่ตน ฟ้าดินลงโทษ"
กระบวนการของศาสนา จึงสอนให้เริ่มที่ตนของตนก่อน เป็นสำคัญ แลอย่าสับสน เห็นแก่ตน ไม่ใช่เห็นแก่ตัว
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า หลักใหญ่ใจความของศาสนา อันจะเรียกว่าหลักศาสนาพุทธก็ว่าได้ คือ "ตัวกระทำไม่ตาย รอเราอยู่วันข้างหน้าแน่"
ด้วยเหตุนี้ ศาสนาจึงสอนให้เราพัฒนานิสัย เพื่อเห็นแก่ตน เพราะสิ่งที่ทำนั่นคือ ตัวกระทำที่จะรอเราในวันข้างหน้านั่นเอง แลเพื่อจะให้ได้ผลที่ดีรอเราในวันข้างหน้า การกระทำเพื่อตน จึงอยู่บนพื้นฐานทำให้ผู้อื่น เป็นอุปนิสัย เบียดเบียนผู้อื่นให้น้อยที่สุด
แลจะทำอย่างนั้นไม่ได้เลย หากไร้ซึ่งเมตตาธรรม ด้วยนิสัยของเราท่านย่อมมีคนชอบคนชัง เมตตาของเราท่านที่มี อยู่บนพื้นฐานอันนี้ เราท่านจึงใช้มักจะให้แก่เฉพาะ คู่คล้องกรรมเป็นธรรมดา อาทิ แม่ให้ลูก ให้เพื่อนสนิท คนที่รู้จักขอบพอ หากแต่เป็นผู้อื่นแล้วไซร้ ก็นิ่งเสีย เมื่อมองกลับไปยังต้นแบบคือ พระพุทธเจ้า ทรงใช้เมตตาธรรม คือ ให้แก่ทุกผู้ทุกนาม ด้วยพื้นฐานว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ สามารถพัฒนาตนได้ แลการกระทำที่ทำไป ล้วนแล้วแต่ด้วยความไม่รู้ในเรื่องศาสนา ทำให้ใช้ความคิดความเห็นตนนำ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า "เมื่อไม่รู้ก็ไม่ผิด"
สิ่งที่ผิดใหญ่หลวงสำหรับเราท่าน เมื่อไม่รู้เรื่องศาสนา ย่อมหนีไม่พ้น การเอาความคิดตน ไปส่งให้ผู้อื่นทำตาม เมื่อผู้ตามเชื่อเราท่าน แล้วทำ จึงปฏิเสธผลผิดอันนั้นไม่ได้เลย ด้วยตัวกระทำไม่ตาย อาทิเช่น เราท่านรักลูก ลูกไม่สบาย ความไม่รู้ของเราท่าน ก็ป้อนยาเคมีให้ลูก ดูเสมือนหนึ่งช่วยลูก เพราะทานแล้วแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ แต่กลับกลายเป็นทำลายภูมิของลูกไปทีละน้อย เมื่อเติบใหญ่ก็กลายเป็นคนขี้โรค เห็นได้จากทุกวันนี้ จะหาคนหนุ่มสาวที่ไม่ทานยา ไม่มีโรค น้อยกว่าน้อย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า บัญญัติศาสนา จึงสอนให้เห็นแก่ตน ช่วยตนก่อน นั่นคือ เรียนรู้หนทางที่ถูก โดยดูจากตนของตนก่อนเป็นสำคัญ ทำเยี่ยงไรผลถูกจึงเกิด นั่นแหละเป็นความรู้ที่ถูกต้อง เมื่อช่วยตนของตนได้ จึงนำความรู้นั้น ไปส่งให้คนอื่น
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์บอกอยากช่วยตน ทำเพื่อตน ต้องทำให้ผู้อื่น และเสมอภาค ไม่เลือกหรือแบ่งกลุ่ม นั่นแลเมตตาธรรม ผลที่ให้สุขแก่ผู้อื่น จึงย้อนกลับมาหาตน นี่แลจึงเรียก เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
อยากหายโรคจึงไม่ใช่เรื่องยาก อยากไม่เป็นโรคก็ไม่ใช่เรื่องยาก ก็รู้แล้วว่า ทำอย่างไรได้อย่างนั้น อยากไม่เป็นมะเร็ง ก็ไปช่วยคนป่วยมะเร็ง อยากหายมะเร็ง ก็ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งนั่นแล ประการสำคัญ ไม่ใช่ด้วยเงินด้วยทอง แต่ด้วยรอยมือรอยตีน แลนิสัยของเราท่านนั่นเอง
เอาเงินล้านไปซื่อคีโม ไม่มีทางรักษามะเร็งหาย แต่เอามือตน ไปปลูกมะกรูด มะพร้าว ตำลึง ไพล หรือสมุนไพรที่คนเป็นมะเร็งใช้ แล้วดูแลรดน้ำ พรวนดิน จนออกดอก ออกผล เป็นมะกรูด มะนาว ไพล ที่ได้มาจากน้ำเหงื่อน้ำแรง ของตน ที่บริสุทธิ ไม่มีสารเคมีเป็นพิษ ไม่มีความโลภ ปลูกเพราะจะขายได้ราคาดี แล้วเอามาถวายแม่ชีเมี้ยน พระพุทธ หลวงพ่อนิพนธ์ ทำยาให้คนเป็นมะเร็งได้ทาน แล้วลองดูสิ มะเร็งจะอยู่กับตนได้ไหม
ทำเพื่อตน ต้องคิดให้สุขแก่ผู้อื่น นี่แลคือ บทพิสูจน์ ว่าหลักของศาสนาพุทธ "ตัวกระทำไม่ตาย ทำอย่างไรได้อย่างนั้น" ใครทำ ใครได้ ... หรือจะรอทานของผู้อื่น แล้วให้ตนหาย ทางใดถูก ทางใดให้ผล ก็พิจารณาแล้วทำ
หาทางที่ถูก ช่วยตนให้รอด แล้วค่อยส่งความคิดที่ถูกให้ผู้อื่น หรือ คนที่เราท่านรัก เขาจะได้ไม่เดินทางผิด มิฉะนั้น ก็กลายเป็นผิดแล้วผิดอีก ตนทานยาเคมี จนพรหมลิขิตตนหักกลาง ไปเสียก่อนวัยอันควร แล้วยังไปส่งเสริมบอกคนอื่น ให้ทำตามอีก ฆ่าชีวิตตนก็สาหัสแล้ว นี่ฆ่าคนอื่นอีก
หากตนของตน ทำได้ เริ่มเหมือนเห็นแก่ตนถ่ายเดียว แต่เมื่อเห็นทางที่ถูก ทีนี้จะช่วยใครบอกใคร ก็เป็นผล กลายเป็นการกระทำที่ให้ผลแก่ผู้อื่นอันมหาศาล เห็นแก่ตนก่อนนี่แหละ ไม่ใช่การเห็นแก่ตัว
อยากทำเพื่อตน จึงต้องฝึกทำให้ผู้อื่น ด้วยเมตตาธรรม ตามรอยของพระภูมี นั่นเอง รอยนี้แหละที่จะทำให้หมู่ชนของคนที่เชื่อ แล้วทำตาม กลายเป็นหมู่ชนชาวศิวิไลซ์