ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันพุธที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
นิสัยของพระพุทธเจ้า
ความลังเลใจของหลายคน ต่อคำถามที่มีต่อ ศาสนา เมื่อได้รับคำสอนว่า จากท่านอาสิว่า ต้องทำนิสัยของพระพุทธเจ้า ... คือ ไม่เชื่อ หรือ ไม่แน่ใจว่าตนจะทำได้
เหตุประการหนึ่ง ที่เราอยากให้พิจารณา นั่นคือ การวาดภาพว่าการลดนิสัย เพื่อให้เกิดบุญ ตามรอยพระพุทธเจ้านั้น มุ่งเน้นไปที่ การตัด ความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้หมดสิ้นลง ภาพที่หลายคนมองจึงปรากฎว่า เป็นงานช้าง เป็นงานยาก หรือพูดง่ายๆ คือ คิดว่าตนทำไม่ได้ตั้งแต่เริ่ม
เมื่อประกอบกับ คำสอนจากท่านอาสิที่ชี้ว่า การกระทำในศาสนา โดยเฉพาะเมื่อรับสัจจะมาทำแล้ว หากทำได้ก็เป็นบุญมหาศาล หากทำผิด ผลผิดก็มหาศาลเฉกเช่นเดียวกัน ดังนั้น หลายคนจึงคิดว่า ปลอดภัยไว้ก่อน ไม่รับดีกว่า เพราะกลัวทำไม่ได้
หลวงพ่อนิพนธ์ ยกคำสอนของแม่ชีเมี้ยนมาอรรถาธิบายให้ฟังว่า แท้จริงแล้ว เมื่อพิจารณาไปในรายละเอียด นิสัยของพระพุทธเจ้า พูดภาษาชาวบ้านก็คือ นิสัยที่ให้สุขแก่ผู้อื่น นั่นเอง การที่ศาสนาสอนให้ทำสัจจะ ก็คือ เพื่อที่จะให้เราท่าน ทำบางสิ่งบางอย่างที่พอจะทำได้ นั่นเอง หาใช่แบกของหนัก แล้วทำไม่ได้ เริ่มทีละน้อย เอาเฉพาะที่ทำได้ก่อน
ดังนั้น ความแตกต่างของสัจจะ กับศีล หรือข้อปฏิบัติในลัทธิความเชื่ออื่นๆ ที่เห็นเด่นชัด นั่นก็คือ แต่ละบุคคลไม่มีความจำเป็นต้องเหมือนกัน ด้วยนิสัยต่างกัน ในขณะที่ความเชื่ออื่นนั้น อาจจะต้องใช้ศีล หรือ บัญญัติ อะไรก็ตามแต่ หากแต่ทุกคนต้องทำเหมือนๆกัน
ก็แล้วจะเลือกสัจจะนิสัยของพระพุทธเจ้าข้อใด ท่านก็อธิบายว่า ก็ให้ดูว่าพฤติกรรมใดของเราท่าน ที่ให้ทุกข์แก่ผู้อื่นเป็นอุปนิสัย ทำบ่อย นั่นแล อาทิเช่น คนบางคน ปกติ ก็เป็นคนดี อยู่ในร่องรอย แต่พอเหล้าเข้าปาก ก็เรียกว่า เมาหมา เกะกะระรานชาวบ้าน อาละวาด ยิ่งปืนบ้าง ... ท่านก็ให้วางสัจจะ ไม่ทานเหล้า เพื่อหยุดนิสัยให้ทุกข์อันนี้เสีย บางคนเป็นแม่ค้า อะไรก็ดีหมด แต่มีนิสัยโกงตาชั่ง หรือ ขี้เหนียว ของเสียก็ใส่ปนไปให้ลูกค้า ของจะเน่า ก็ใส่สารกันบูด จะได้ขายได้อีก อะไรประมาณนี้ ผลคือ คนที่ซื้อ ถูกเบียดเบียน ไปจนกระทั่งนำไปทานแล้วกัดกระเพาะ ลำไส้ แม่ค้านั้นก็ไม่รู้ว่า ตนเองเป็นมะเร็งได้อย่างไร ไม่เคยทำบาป ท่านก็ให้วางสัจจะ ไม่โกงตาชั่ง พูดจริง ทำจริง ของใดเสียไม่ดี ก็บอกไม่ดี ของดี ก็บอกดี ของเสียก็ยอมทิ้งไม่นำมาขาย นี่แหละ เราท่านก็พิจารณาว่า นิสัยสิ่งใดของเราท่านที่สร้างทุกข์ให้ผู้อื่น ก็พึงนำมาใส่บาตรถวายนิสัยนั้นแก่พระพุทธนั่นเอง
เมื่อสาวไป นิสัยเหล่านั้นก็เป็นรากเหง้าของ ความโกรธ ความโลภ ความหลงนั่นเอง การตัดนิสัยที่ให้ทุกข์แก่ผู้อื่นนั้น จึงเสมือนตัดริด ต้นโกรธ โลภ หลง ทีละเล็กละน้อย ตามแต่ที่ตนทำได้ ต้นก็เล็กลง แม้นจะยังเหลือ สร้างทุกข์ให้ผู้อื่น ก็แต่เพียงเล็กน้อย เพราะกิ่งใหญ่เราท่าน ทำสัจจะ โค่นมันลงไปก่อนแล้วนั่นเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นว่า ทุกสรรพอาชีพ ล้วนมีบาปทั้งหมดทั้งมวล ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ทำไมทุกคนจึงหนีความเจ็บไม่พ้น เมื่อมาเจอศาสนา ก็พึงพิจารณาว่า นิสัยใดของเราท่านที่มีในอาชีพ สร้างทุกข์ให้ผู้อื่น หรือ แม้นแต่นิสัยเฉพาะของตน ก็เฉกเช่นเดียวกัน นิสัยนั้นแลเป็นเหตุที่มาแห่งโรค เมื่อเราท่านตัดทอนลง จึงเสมือนตัดเหตุที่มาแห่งโรคที่ตนเป็น เมื่อทำได้ ไม่มีเหตุแห่งโรค การฟื้นฟูตนก็จะกลายเป็นการง่าย เพราะสมุนไพรทำหน้าที่กำจัดสิ่งที่มี โดยไม่มีอะไรมาเพิ่มเติมให้่หนักหนาอีก ในไม่ช้า นิสัยของเราหรือวิญญาณของเราก็จะถูกพัฒนาขึ้นสูง กายของเราก็จะสูงตามไปด้วย ตามวันเวลาที่สมุนไพรคลี่คลาย
เรื่องของศาสนา ดั่งที่ท่านอาสิสอน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ "นิสัยของพระพุทธเจ้า นำตน" แล้ว การหายโรค จึงเป็นผลพลอยได้ ที่ศาสนาเขาแถมให้ เมื่อสามารถทำวิญญาณของตนให้สูงขึ้นได้นั่นเอง
หากพิจารณาย้อนยุคถ้ำกระบอก จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า คนที่มาเลิกยาเสพติด มีตั้งแต่สามัญชน จนถึงเจ้าขุนมูลนายชั้นสูง การเริ่มกระบวนการ จึงเริ่มที่การวางสัจจะ ไม่สูบ ไม่เสพ ไม่ค้า ไม่ส่งเสริม เป็นประการสำคัญ แล้วจึงทำการฟื้นฟู อันจะเห็นว่า นั่นคือ นิสัยของพระพุทธเจ้า เมื่อกระทำตามสัจจะที่ให้ไว้ได้ จากการเป็นคนที่ให้ทุกข์ ทั้งคนในครอบครัว และรอบข้าง ก็กลายมาเป็นกำลังของครอบครัว ให้สุขทั้งครอบครัว คนรอบข้าง จนถึงประเทศชาติ นี่และเป็นเหตุให้ ทำไม ยาสมุนไพรเพื่อบำบัดยาเสพติด ในยุคถ้ากระบอก จึงให้ผลที่เฉียบขาด หาใช่ด้วยฤทธิ์ยาแต่เพียงอย่างเดียวไม่
บาตรของพระพุทธเจ้า จึงมิใช่มีไว้เพื่อขอข้าว เหมือนต่างชาติบางคนดูถูกว่าเป็นลัทธิขอเขากิน แต่มีเพื่อขอนิสัย อันเป็นการแก้ที่ต้นเหตุแห่งทุกข์ของเราท่าน จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมโลกนี้ไม่มียา หรือวิธีการใด ที่สามารถรักษาโรคตายได้เลย ก็เพราะคนทั้งหลายที่คิดวิธีเหล่านั้น มองโรคเป็นโรค แต่โรคเป็นปลายเหตุ หากจะแก้ พระพุทธเจ้าสอนให้แก้ที่ต้นเหตุแห่งทุกข์ คือ นิสัยทุกข์ ที่เราท่านสร้างนั่นเอง เมื่อแก้ที่ต้นเหตุ เหลือแต่โรคที่เป็นปลายเหตุ จึงไม่เกินกำลังของสมุนไพรที่จะทำได้
คุณสมบัติอันนี้ จึงต้องถูกสร้างขึ้น ในทุกตัวคน ที่อยากจะประสพผลสำเร็จ ในศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หาไม่แล้ว แม้นบุญเก่าจะทำมาดี หายโรคนี้ได้ โรคใหม่ก็มาได้ หรือ ตายด้วยอุบัติเหตุ มันก็ตายเหมือนกัน การหายโรคในวันนี้ จึงไร้ค่า เพราะท้ายที่สุดก็ไม่รอด
เคล็ดของศาสนา ที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น จึง เป็นการกระทำ ทีละน้อย สร้างนิสัยสุข เท่าที่ตนทำได้ เมื่อหนึ่งทำได้ สองก็ทำได้ ยิ่งทำได้มากข้อ มากนิสัย มากเวลา จากหนึ่งชั่วโมง เป็นสองชั่วโมง จนในที่สุด กลายเป็นอุปนิสัยใหม่เกิดแก่ตน หายโรคนั้นจึงเป็นเรื่องกระจอก
หากใครไม่รู้ มองไม่ออกว่า นิสัยสร้างทุกข์ให้ผู้อื่น ของตนเป็นเช่นไร ก็ถามคนใกล้ชิด หรือ พ่อแม่ดู ย่อมรู้ได้ และหากวันใด สามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยอันนั้นลงได้ เกิดนิสัยสร้างสุขให้ผู้อื่น จนคนใกล้ชิดสัมผัสได้ ท่านจะพบว่า นิสัยเก่าที่หายไป มันมิใช่แต่เพียงแค่นั้น มันยังทำให้โรคท่านหายไปด้วย ...
สถานที่นี้ จึงไม่สนหรอกว่าท่านเป็นอะไร หนักหนาแค่ไหน ก็ถ้ามาฟังคำสอน พิจารณา เชื่อ แล้วทำตาม ... ปาฏิหารย์ในการเปลี่ยนนิสัยของท่านได้ ก็คือปาฏิหารย์ในการหายโรคได้ ... จึงเป็นที่มาว่า ทำไมต้องพึ่งตน ใครก็ช่วยใครไม่ได้ อยากได้ต้องทำเอง