หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นเสมอว่า โลกนี้เป็นโลกของโลกียะ แลมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงหนึ่งเดียว คือ กรรม ส่วนสิ่งอื่นที่มนุษย์อ้างเอ่ยก็ล้วนแต่เป็นเพียงความคิด ความเชื่อ หามีอำนาจใดๆไม่ เป็นแต่เพียงความคิด ความสุขทางใจ เท่านั้นเอง
ดังนั้น เมื่อกรรมบันดาล สุข บันดาลทุกข์ ก็ไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนแปลง หรือ ทำลายได้ นี่แลเป็นความจริงของจักรวาล หรือ เป็นธรรมชาติของจักรวาล
แม่ชีเมี้ยน จึงตรัสสอนความจริงนี้ว่า "ตัวกระทำไม่ตาย จะทำสักฉันใดไม่ตายเลย" เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดทำแล้ว ก็จะเกิดเป็นตนกระทำ รออยู่ในวันข้างหน้า
หลวงพ่อนิพนธ์ เรียกว่า ปล้องกรรม หรือ พรหมลิขิต ของมนุษย์ทุกคนนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ คนที่รู้เรื่องศาสนาจึงรู้ว่า พรหมลิขิตแห่งตนนั้น แท้จริงแล้ว ตนนั่นแหละเป็นผู้เขียน เป็นผู้กำหนดเอง ทั้งหมดทั้งมวล ไม่ใช่มีผู้ใดบันดาลให้เป็นไม่
หลายคนกล่าวอ้าง ทำไมตนทำความดีมาตั้งแต่เกิด หากแต่พบแต่สิ่งเลวร้าย ความยากลำบาก มาทั้งชีวิต ก็นั่นมันของเดิมที่ทำมา สิ่งที่ทำในวันนี้ ก็ส่งผลในวันหน้า มันก็จึงไม่แปลก คนที่มีพรหมลิขิตเก่าก่อนมาดี มาวันนี้ ทำความชั่วมากหลาย ยิ่งทำยิ่งเจริญ ก็นั่นมันของเดิมเขาทำมาเช่นกัน จะมาอ้างเอ่ยว่า ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดีมีถมไป นั่นมันคนไม่จริง คือ ไม่ยอมรับความจริง ของตนที่ทำมาในอดีตต่างหาก กลับย้อนไปติเตียนคำสอนซะงั้น
เมื่อรู้ความจริงอันนี้ ก็เสมือนประหนึ่งว่า เมื่อกรรมมาอุบัติเป็นโรค ทำให้ทุกข์ จะดิ้นรนหาให้ใครช่วยย่อมไร้ผล มีแต่ก้มหน้ารับ รอจนใช้หมด ก็ไปเอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้ดูว่า นี่แลเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาของมนุษย์ เพราะเมื่อเวลาจะหมดกรรม บังเอิญไปพบสิ่งใดเข้า ก็ยึดเอาว่าสิ่งนั้นช่วยได้ แล้วก็ส่งต่อสิ่งผิดๆนี้ ให้ผู้อื่น ทำตามตน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกเรื่องครั้งถ้ำกระบอกมาให้ฟังเป็นตัวอย่าง มีคนป่วยผู้หนึ่ง ป่วยเป็นโรคปวดท้อง จะไปรักษาหมอกี่คน หรือใช้วิธีใด ก็ไม่หาย จนได้ข่าวถ้ำกระบอก ก็เดินทางมาหา พบหลวงพ่อนิพนธ์ หลวงพ่อนิพนธ์จึงเรียนถามแม่่ชีเมี้ยน แม่ชีเมี้ยนจึงบอกเรื่องราวความเชื่อของมนุษย์ให้ฟัง แล้วให้ลอง
แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า กรรมของคนผู้นี้จะหมดลงในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า ท่านก็ลองให้หาธูปเทียน ผ้าแพรเจ็ดสี แล้วแกล้งทำพิธี ครั้นพอใกล้ครบสองชั่วโมง ก็รินสมุนไพรเขียวให้ทานแก้วหนึ่ง แล้วจะเห็นว่า คนผู้นั้น จะเชื่อกรรมพิธีของท่านแบบสุดตัว
หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ไปลองทำตาม ครั้นพอครบสองชั่วโมง คนผู้นั้นก็หายปวดท้องเป็นปลิดทิ้ง แล้วก็บอกแก่คนทั่วไปว่า พิธีกรรมนี้ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ
การดิ้นรนไปเพื่อพ้นทุกข์ จึงทำไม่ได้ จะมีก็แต่ข้อยกเว้นประการเดียว ที่โลกียะ หรือ กรรม เขายอมให้ นั่นก็คือ หากคนผู้นั้นเจอศาสนา พิจารณา เชื่อ แล้วทำตาม ก็จะสามารถเลียงกรรม หรือ หนีกรรมอันนั้นได้ ตามแต่ตัวกระทำที่ทำได้
เมื่อศาสนาจะมาอุบัติทุกรอบ ๒๕๐๐ ปี พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จึงทรงให้แว่นจักรวาล เพื่อให้มนุษย์ สามารถหาศาสนาเจอ เพื่อที่จะได้พบธรรม พิจารณาแล้วทำเพื่อช่วยตน ก็พึงหาได้ ด้วยแว่นส่องจักรวาล นั่นคือ "ที่ใดมีความไม่มีโรค ที่นั่นแลมีศาสนา"
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สมุนไพรเป็นแต่เพียงสร้างโอกาส และเป็นเทียนส่องนำทางให้เจอศาสนา เพื่อที่จะให้มนุษย์ได้พัฒนาวิญญาณของตน ได้พิจารณา แล้วนำธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มาทำ ให้เกิดเป็น อำนาจธรรม เพื่อช่วยตน แต่ไม่ได้มีไว้ขอ อยากได้ ต้องทำเอง
ดังนั้น ศาสน์ และความรู้ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงดับฝันหลายคน ที่คิดจะมาขอ จะมาแต่ทานสมุนไพร เพื่อสนองกิเลสตน หายแล้ว ก็จะไปทำตามนิสัยเดิม ถึงโชคดีหายได้ ก็หาพ้นกรรมไม่ ด้วยการจะมาคร่าชีวิต ไม่จำเป็นต้องเป็นโรค กรรมเขาก็บันดาลให้ตายได้ แค่ไม่จิ้มฟัน แทงเหงือกยังเสือกตาย ภาษิตโบราณก็ว่าไว้
ศาสน์สมุนไพรจึงไม่กลัวโรค หากแต่กลัวนิสัยของมนุษย์ ที่ชอบขอ แต่ไม่ชอบทำ ศาสน์อันนี้ ทำให้เราท่านได้มาพบธรรม แล้วทำธรรม เป็นอำนาจ ช่วยตน
๑๕ อย่าแต่เพียงท่อง "ขออำนาจพระธรรมคำสั่งสอน ช่วย...." แต่พฤติกรรมแห่งตน ไม่ได้เดินในร่องธรรม จะเอาอำนาจธรรมที่ไหนมาช่วยตนได้เล่า อยากหายก็ได้แต่เพียงอยาก คงยากจะเป็นจริงได้ ก็ทีทำบาป ยังต้องใช้ กาย วาจา ใจ สร้างให้เป็นตนกระทำ แล้วมันก็มาส่งผลให้ทุกข์ในวันนี้แล้ว บังเอิญโชคดีมาเจอศาสนา พบวิธีช่วยตน แต่จะเอาแต่เพียงความคิด ไม่มี กาย วาจา ใจ กระทำเลย จะมีบุญที่ไหนไปใช้กรรม หากแต่พิจารณา เชื่อ แล้วทำตาม นี่แลเป็นธรรมศักดิ์ มีอำนาจ เหนือกรรมเหนือเวร ใครทำได้ โรคอะไรก็ไม่น่ากลัว ทำได้ก็หายได้
หลวงพ่อนิพฯธ์จึงมักทิ้งท้ายให้พิจารณาเสมอ อย่าไปกลัวโรคเลย นั่นมันแค่บริวาร แต่ "กรรม" ต่างหากที่เราท่านต้องกลัว นี่แหละตัวแม่ ดลบันดาลให้เป็นทุกข์ เมื่อกรรมมีจริง วันนี้พบธรรมที่แท้จริง ถ้าทำจริงเดินตามศาสน์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง ช่วยตนของตนได้ สถานที่นี้มีผู้ทำได้ จึงมีผู้คนหายโรคนานาชนิดให้เห็นเป็นพยานนั่นไง