วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

รอยอดีต

ครั้งหนึ่ง มีชายสองคนพี่น้อง ติดยาเสพติด มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ท่านรับไว้ แล้วก็บอกว่าให้รินสมุนไพรเขียวให้สองคนทาน

เราเรียนถามหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ไม่ต้องใช้ยาตัดหรือ ท่านก็ตอบว่า ไม่จำเป็นหรอก อำนาจของศาสนาที่ให้ อะไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้ให้

ขณะนั้น ศาลาขนมไทยที่เป็นเรือนด้านหน้าที่ถูกรื้อไปแล้วนั้นยังอยู่ แลก็จะมีห้องเล็กๆที่คนป่วยใช้สำหรับสวดมนต์ แล้วหลวงพ่อนิพนธ์สอน

สมุนไพรเขียวที่รินให้นั้น ก็เต็มแก้วโอเลี้ยงสมัยก่อน เทียบกับสมัยนี้ ก็เรียกได้ว่า สมุนไพรเขียวขวดเล็กที่แจกกันนั้นเททานทีเดียวหมด

ภาพที่ติดตาก็คือ สองพี่น้องทานเสร็จ ก็เดินออกมาจะนำแก้วไปล้าง แต่กลับเดินชนกระจกประตูเสียงดังสนั่น ถามดูก็บอกว่ารู้สึกเมายาเขียว สมองตื้อไปหมด

แต่ก็เป็นอยู่ระยะสั้นๆ สิ่งที่เราทึ่งกลับเป็นว่าสองพี่น้องที่ติดยาบ้างอมแงม ด้วยมีฝีมือช่าง แต่ทำงานโดยไม่มีค่าแรง เพราะเจ้าของกิจการนอกจากมีงานช่างอยู่ด้านหน้าโรงงาน ด้านหลังก็ผลิตยาบ้าขาย นั่นคือ อยากจะเอาเท่าไหร่ ก็หยิบไป สองพี่น้องจึงจัดหนัก เสพกันแบบไม่กลัวหมด จนติดหนัก เรียกว่า เสพจนเลือดออกทวาร คือ หูตา กันเลยทีเดียว

แต่สมุนไพรเขียวคนละแก้วใหญ่ ทำให้สองพี่น้องนั้น เลิกยาบ้าได้ และเริ่มกลับมาทานอาหาร มีแรง ทำงานได้อีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ ที่สำคัญ เป็นยาแก้วเดียวที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้สองพี่น้องนั่น

มาวันนี้ เราจึงนึกเสียดาย คำที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอ เมื่อยังสร้างบุญทานไม่เป็น การทานสมุนไพรให้ได้ปริมาณ โดยเฉพาะสมุนไพรเขียวนั้น ช่วยได้เยอะ การให้สมุนไพรเขียวในยุคของท่าน อ.อร่าม ที่มาแรกๆนั้น หากย้อนไปถามก็จักเห็นว่า แจกกันเป็นขวดลิตร

ในวันนั้น คนเก็บยาก็เป็นคนป่วยที่เชื่อในหลวงพ่อนิพนธ์ เป็นมะเร็งไปเก็บยาให้สุขแก่ผู้อื่น แล้วรอด คนเป็นมะเร็งหลายคนที่เป็นผู้หญิงเชื่อ ก็ชวนสามีไปเก็บ เผลอแพล็บเดียว คนกลุ่มนี้ เก็บใบยามากว่ายี่สิบปี ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็วัยเข้าชรา ต้องปลดระวางตัวเองไปกันหมด

บทสรุป นี่คือบทพิสูจน์ที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนเสมอ อยากพ้นทุกข์ อยากมีสุข มิใช่ไปไขว่ขว้ามาหาตน หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ แต่ต้องด้วยการไปสร้างสุขให้ผู้อื่น สุขนั้นจึงย้อนมายังตน คนป่วยหญิงเหล่านั้น ทุกวันนี้ ปลดระวาง กลายเป็นคุณยาย นั่งเลี้ยงหลานมีความสุข ลืมมะเร็งของตนที่เป็น ลืมคำของหมอที่บอกว่า คงอยู่ได้อีกไม่นาน แต่นั่นมัน ยี่สิบสามสิบปีที่แล้ว

สงสัยนัก คนป่วยทุกวันนี้ เดินตามใคร หากเดินตามรอยที่รุ่นพี่ทำไว้ การหายโรคก็คงไม่ใช่เรื่องยาก และก็เป็นไปได้แบบรุ่นพี่ หากเดินตามนิสัยตน ไม่รู้หรอกว่าจะหายไหม ทั้งที่ทุกวันนี้ คนป่วยมากมายกว่าเดิมนัก แต่ต้องจำกัด สมุนไพรเขียว ด้วยกลัวไม่พอครบคน ... นี่แลเรื่องตลกไม่ออก ทั้งๆที่คนเยอะ ใบยาก็เยอะ สมุนไพรมันก็ควรจะได้บริบูรณ์ แต่แนวทางให้สุขแก่ผู้อื่น เพื่อสุขย้อนมาหาตน ของพระภูมี ไม่นิยม ... เขาจะเอาหายโดยไม่ทำ แล้วจะไปกันอย่างไรหนอ

แต่ก็นั่นแหละ หลวงพ่อนิพนธ์บอกเสมอ สถานที่นี้เพียงแค่ให้โอกาส เป็นทางเลือก ถ้าเห็นพ้องก็ช่วยกันทำ ช่วยกันทาน หากแต่ถ้ามันไม่รอด ศาสนาก็ไม่จนตรอก ก็หันกลับไปย้อนยุค ย้อนอดีต ทำน้อยๆ เอาแต่คนอยากได้ ... ใครอยากหาย บวช ... ถ้าบวชไม่ได้ ก็กลับบ้านไป บ้านใครบ้านมัน

จึงน่าสงสัยหนักเข้าไปอีก สร้างโบสถ์ สร้างศาลา ที่ซึ่งแม้นแต่จิ้งจก ก็ไม่ให้อยู่ ช่วยใครก็ไม่ได้ ยังสร้างได้ นี่สร้างชีวิต ดั่งคำโบราณ ช่วยมนุษย์ดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น แล้วไยวางเฉย ธุระไม่ใช่ คนทำก็ทำตาย เพราะมีส่วนน้อย แลที่สุด น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ไฟมันต้องเผาสถานที่นี้มลายหายไปในวันข้างหน้าแน่ ถ้าคนที่มาไม่สามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ .... แล้วลูกหลานเราท่าน คนที่รัก จะมีทางเลือกที่ดีแบบนี้ให้เลือกหรือ มิเท่ากับร่วมกันฆ่า ร่วมกันปิดหนทางรอดของลูกหลานเราท่านหรือ

หากจะหวังรัฐ หวังคนภายนอกมาช่วย .... นั่นไม่ควรเลย ควรที่พวกเราท่านนี่แหละ ช่วยกันทำ ช่วยกันกิน แล้วก็ช่วยกันหาย สานต่อให้เป็นทางเลือกของลูกหลาน ไม่ใช่บอกว่า พวกเอ็งอยากทำ อยากสร้าง ก็รับผิดชอบไป ฉันไม่สน มาทานหายก็ไป .... จะหายด้วยจิตใจแบบนี้หรือ ตอบแทนพระคุณผู้ให้แบบนี้หรือ ... ไม่น่าจะใช่มั๊ง

ก็แล้วถ้าเราท่านช่วยกัน สมุนไพรมีมากมาย เหลือให้เอาเฉพาะแค่ลูกหลานที่ติดยา นั่นก็เป็นคุณมหาศาลที่ร่วมกันทำแล้ว ภาพของสองพี่น้องที่เลิกยาได้ มันจะได้กลับมาอีก ฤาจะทิ้งให้มันเป็นแค่ความทรงจำของเรา

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44