วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ทำทำไม

หลวงพ่อนิพนธ์ย้ำเสมอว่า เรื่องของศาสนา เป็นเรื่องของมือที่สาม อันหมายความว่า โดยปกติทั่วไป คนทั้งหลายไม่จำเป็นต้องมาพึ่ง มาหาศาสนา ก็ดำรงอยู่ได้ อาจจะเจริญรุ่งเรือง สมบูรณ์พูนสุข ตลอดอายุขัย หรือ ทุกขเวทนา ก็ตามแต่สิ่งที่ตนได้ทำมาในอดีต และสิ่งที่ทำมานั้นเอง ก็จักเป็นเครื่องปกปักรักษา ให้มีอายุขัยจนครบ เพื่อรับผลแห่งการกระทำของตนนั้นๆ เป็นปกติอยู่แล้ว

ศาสนา รู้ธรรมชาติอันนี้ดี ดังนั้น เมื่อศาสนาอุบัติในโลกอีกครั้ง เพื่อก่อกำเนิดพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ สานต่อองค์เก่า ก็ยังคงรูปลักษณ์เดิมเอาไว้ นั่นคือ เป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม แถมยังเป็นกลุ่มคนเล็กๆเท่านั้นเอง ไม่ยื่นมือไปก้าวก่ายคนทั้งหลายทั้งปวง เอาเฉพาะคนที่เวียนว่ายเข้ามา ได้ฟัง ได้ยิน พิจารณา เชื่อ แล้วทำตาม เท่านั้นเอง

ดังนั้น คนที่มีศาสนา หรือ คนที่ได้มาฟังเรื่องราวของศาสนา พิจารณาแล้วเชื่อ จึงเดินตาม จึงเป็นบุคคลที่ทวนกระแสโลก เมื่อทำได้ จึงเป็นมนุษย์ เหนือ มนุษย์ หรือจะเรียกว่า มนุษย์วิเศษ ก็ว่าได้ เพราะคนเหล่านี้จะได้สิทธิ์ที่คนทั้งหลาย ทั้งปวง อยากได้ แต่ไม่มีทางได้ เริ่มจากสิทธิ์พื้นฐาน นั่นคือ "ความไม่มีโรค"

จึงไม่แปลกเลยว่า เมื่อเป็นคนวิเศษเหนือมนุษย์ทั่วไป คนเหล่านี้ ย่อมมีพฤติกรรมที่ไม่เหมือนคนทั่วไป พูดฟังง่าย หลวงพ่อนิพนธ์ก็บอกว่า คือ "ไม่ทำแบบคนทั่วไป" อันหมายถึง จะใช้นิสัยตนเหมือนคนทั่วไปไม่ได้ ต้องมีอะไรแปลกไป

สิ่งที่แปลก คือสิ่งที่คนทั่วไป ไม่เอา ไม่สน ไม่ทำ นั่นคือ วินัยทุกข์ของพระพุทธเจ้า นั่นเอง

ผลที่บังเกิดกับคนเหล่านั้น จะวิเศษปานใด ก็ขึ้นอยู่กับการทำวินัยอันนั้้นแล ว่าทำได้มากน้อยสักเพียงใด หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า "ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น ใครทำ ใครได้" แลแม้นธรรม่ของพระภูมีจะวิเศษสักฉันใด ก็ช่วยใครไม่ได้ อยากได้ ต้องทำเอง

บทบัญญํติ ของพระภูมี ที่ทำได้ จึงมีสิ่งวิเศษ ที่โลกนี้ไม่มี นั่นคือ "บุญ" ในขณะที่การกระทำตามลัทธิความเชื่ออื่นใด ผลตอบแทน ก็พึงจบแค่ "กรรมดี แลกรรมชั่ว" เท่านั้นเอง

แลท่านอาสิก็ชี้ให้เราท่านเห็นว่า ช่องเล็กๆที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ ในการสร้างบุญ ก็มีแต่เพียง การทำนิสัย หรือ การลดนิสัยตน ที่สร้างทุกข์แก่ผู้อื่น แล้ว ไปสร้างนิสัยใหม่ ที่ให้สุขแก่ผู้อื่น ขึ้นมาแทน

คำถามที่ว่า ทำไมต้องทำ หรือ ทำทำไม ในเมื่อ การมาของเราท่าน มาเพื่อหายโรค ไม่ได้ต้องการอื่นใด ไม่ต้องการเปลี่ยนนิสัย

คำตอบ ที่ได้จึงย้อนถามกลับมาว่า ทำไมต้องช่วย ให้พ้นทุกข์ ที่สำคัญ ไม่ต้องกลัวหรอกว่าจะตาย เพราะหากยังไม่ถึงซึ่งพรหมลิขิต ชีวิตเราท่านก็เหนียวอยู่แล้ว จะทุกข์จากโรคสักฉันใด ดูน่ากลัว น่าตายสักฉันใด เมื่อยังมีพรหมลิขิตก็ไม่ตายแน่นอน เพราะต้องรับสุข รับทุกข์ที่ทำมา จนครบกระบวนความตามพรหมลิขิต หากแต่ถ้าเมื่อครบพรหมลิขิตแล้ว จะทำสักฉันใด ก็ตายแน่ หนีไม่พ้น

คนที่จะพ้นทุกข์ จึงต้องทำตนเป็นคนวิเศษ เป็นคนมีศาสนา เพราะสัญญลักษณ์ของศาสนา คือ ความสุข

ท่านอาสิ จึงชี้ว่า การมาที่นี่ จึงต้องมีคำตอบ ว่าจะทำตนแบบคนทั่วไป หรือ จะทำตนให้วิเศษกว่าคนทั่วไป แล้วได้ความไม่มีโรคเป็นของแถม

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ สำหรับคนที่อยากพบ อยากเจอศาสนา อยากปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อพัฒนาวิญญาณของตนให้อยู่สูง แต่ตอนนี้ พระพุทธเจ้ายังไม่ปรากฎโฉม การกระทำของเราท่าน เพื่อให้สมเจตนา จึงทำตนรอพระพุทธเจ้า นั่นเอง โดยการเอาวินัยบางสิ่งบางอย่างมาฝึกฝนตน ไปพลางๆ แม้นจะไม่ใช่บุญมหาศาล แต่ก็มากพอที่จะสร้างสุขให้แก่ตน แลมีชีวิตที่ดีรอพระพุทธเจ้าที่จะอุบัติในไม่ช้านี้ได้ ที่สำคัญ คือ พ้นภัย ที่จะมาก่อนการประกาศตนนั่นแล

ดั่งที่ท่านอาสิสอน วินัย ก็มีองค์ประกอบ กาย วาจา ใจ การทำวินัยก็ทำในสิ่งที่พอทำได้ แลสิ่งนั้นให้ทุกข์แก่ผู้อื่นมหาศาล เบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป ก่อกรรมแก่เราท่านมากจะเกินไป อาทิเช่น ถ้าเราท่านค้าขาย จากคนที่อยากกำไรมากๆ โกงตาชั่ง เอาของเสียปนมั่ง ก็ถวายสัจจะ ทำตนเป็นคนค้าขายที่ดี ไม่โกงตาชั่ง ของไม่ดี ก็ยอมที่จะทิ้งไป ไม่ขายให้ลูกค้า หากทานเหล้าแล้วชอบตบตี วิวาท ก็วางสัจจะเลิกเสีย หากชอบด่าว่า ติเตียนผู้อื่นเป็นอุปนิสัย ก็วางลง

แค่โค่นนิสัยที่สร้างทุกข์ให้ผู้อื่นเกินไป ก็ทำให้เราท่านเป็นคนวิเศษเหนือคนทั่วไปแล้ว ใครถาม ก็บอกว่า แม่ชีเมี้ยนสอน เราท่านก็ลดนิสัยตามรอยพระพุทธเจ้า ตามที่พอทำได้ เมื่อคนเห็นนิสัยเราท่านเปลี่ยน พรหมลิขิตก็เปลี่ยน เป็นดีขึ้น อย่างแน่นอน เพราะกรรมเขาจำนิสัย ส่วนโรคนั้น ได้หายโรคเป็นของแถมอย่างแน่นอน

ถามว่าทำไมจึงดีขึ้น ก็สิ่งที่เราท่านทำ นั่นกำลังแสดงนิสัยของพระพุทธเจ้าให้คนอื่นเห็น ให้คนอื่นมีสุข การทำเช่นนี้ ย่อมสร้างสุขให้แก่ แม่ชีเมี้ยน พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ ถือเป็นเครื่องตอบแทน แสดงกตัญญู ที่สูงสุด ในการให้กำลัง ให้สุขภาพแก่เราท่านคืนมา

มองให้ละเอียดลงไป หลวงพ่อนิพนธ์ ก็บอกว่า การแสดงนิสัยของพระพุทธเจ้า มิเพียงแต่ตนเองรอดพ้นภัย หากแต่เป็นการโปรดสัตว์ทั่วไป เหมือนพระมาลัย ผู้ใดได้พบเห็นความเปลี่ยนแปลงในนิสัยของเราท่าน ที่มีวินัยของพระพุทธเจ้า แล้วอยากได้ จะได้มีโอกาสช่วยตนบ้าง อย่างน้อยก็คนใกล้ชิด พ่อแม่ ลูกหลาน เป็นทางเลือกให้คนเหล่านั้นได้เดินตาม แลเป็นคนดีเหมือนท่านบ้าง ก็จะได้กลายเป็นคนวิเศษ คนที่ไม่มีโรค เหมือนท่านได้เช่นกัน

ถ้าทำตัวเหมือนคนธรรมดา ไม่มีที่ใดที่จะทำให้เว้นนิสัยแห่งตนได้ ไม่มีใครที่จะหยุดนิสัยแห่งตนได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ ของมงคล ไม่มีทางอยู่กับคนใจต่ำเป็นแน่แท้

เมื่อเหนือคนธรรมดาไม่ได้ จะมีสิทธิอะไรเล่าที่จะไม่เป็นแบบคนทั่วไป แม้นอาจจะพ้นโรคหนึ่ง หรือหนีเสือตัวนี้ได้ด้วยสมุนไพร แต่จรเข้ก็ขวางอยู่ข้างหน้า ท้ายสุด ก็คงมีชะตากรรมเหมือนคนทั่วไปนั่นแหละ การมาพบเจอศาสนา ก็หาประโยชน์อะไรแก่ตนไม่ เพราะช่วยตนของตนไม่ได้ รักษาชีวิตไม่ได้ ก็แย่แล้ว ที่แย่กว่าคือ ไม่มีสิ่งดีงามของศาสนาติดวิญญาณตนไปแม้นแต่น้อย

มาทำตัวเป็นคนบ้า คนไม่ธรรมดาเหมือนพระพุทธเจ้าเถิด ที่คิดแต่จะลดนิสัยให้ทุกข์ มาให้สุข แก่ผู้อื่นเป็นอุปนิสัย ตามแต่ตนจะทำได้ ด้วยการประกาศสัจจะ นำตน แล้วเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ว่าตนของเราท่านเมื่อทำได้ นั้นวิเศษ ไม่เป็นเหมือนคนทั้งหลายทั้งปวง ... มีสุข คือ กินได้ นอนหลับ ทุกเวลา ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน แลวันใดที่พระพุทธเจ้าปรากฎโฉม ก็เดินเข้าไปกราบอย่างภาคภูมิใจ

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44